หลังจากว่างเว้นจากการเดินทางไปต่างประเทศพักใหญ่ ประจวบเหมาะกับกรุงเทพกำลังจะสำลักน้ำตาย และแล้วผมก็ได้รับคำชวนจากเพื่อนที่อายุมากกว่าคนนึง ให้ไปทำงานต่างประเทศกับพวกเขาอีกสามคนอีกรอบ ดินแดนที่หลายคนรู้จักในนามว่า “สิงคโปร์”
…หลังจากรอคำตอบจากการยื่นเรื่องส่งเอกสารขออนุญาติทำงาน ซึ่งเรียกว่า work permit แล้ว (ใช้เวลาหลายวัน) ผมก็ได้รับคำตอบว่า โอเค ผ่าน สาเหตุที่ต้องรอคำตอบเพราะทางประเทศสิงคโปร์ เค้าเข้มงวดเรื่องคนต่างชาติเข้าไปทำงานในบ้านเมืองเค้าค่อนข้างสูงครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบอนุณาติของผมด้วย เรียกว่า performomg artist work permit อยากรู้คำตอบลองไปแปลเอานะครับ…. แต่อยากบอกว่าขั้นตอนนั้นค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร อีกอย่างเอกสารที่ส่งกลับมานั้นก็เป็น application documents มีอายุ 15 วันคือหมายถึงต้องเอาไปยื่นเรื่องอีกครั้งนึงที่กรมแรงงานประเทศสิงคโปร์เรียกง่ายๆว่า เอกสารชั่วคราวครับ
11 พฤศจิกายน 2011 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
วันออกเดินทางครับมีการผิดพลาดเรื่องค่าระวางน้ำหนัก เห้อ….ผมอุตส่าห์เตือนแล้วเตือนอีกบอกให้ซื้อน้ำหนักเพิ่มมาด้วย จะไหวยังงัยละครับของผมคนเดียวก็ปาเข้าไป มากกว่า 40 กิโลกรัมแล้ว แต่ดันให้มาแค่ 15 กิกรัม (ให้มาทำแป๊ะไรเนี่ย..) หลังจากเจรจากับเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน (ground staff) ของสายการบิน Tiger Air ได้ความว่าต้องจ่ายเพิ่มกิโลกรัมละ 500 บาทครับ (งานงอกซะแล้ว…) ทำงัยดี…. หลังจากตกลงกันพักใหญ่พร้อมกับความใจดีของเหล่า ground staff (ขอปรบมือให้ดังๆๆๆ ) พวกผมจึงต้องแบ่งของถือขึ้นเครื่องครับอีรุงตุงนังเลยแหละ พร้อมกับจ่ายค่าน้ำหนักเพิ่มจากทั้งหมด 28000 บาท เหลือ 15500 บาทจากน้ำหนักสัมภาระทั้งหมด 4 คน ถึงแม้จะโชคดี แต่ก็หิ้วของขึ้นเครื่องเหงื่อแตกโฮกๆ ครับแถม gate ที่ผมขึ้นก็ไกลโครตเลย…เซ็งง
…สองชั่งโมงบนเครื่องผ่านไป เท้าสองข้างก็ได้สัมผัสสนามบิน ชางจี (chang gi) ประเทศสิงคโปร์ เดินลิ่วๆเข้าไปผ่าน ด่านตรวจคนเข้าเมืองพร้อมเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสามคน แล้วเสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ ตรวจคนเข้าเมืองสิงคโปร์ เรียกพร้อมเดินเข้ามาหาผม แล้วสอบถามว่าผมถืออะไรเข้ามาด้วย ผมก็ตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษว่าเป็นอุปกรณ์การทำงาน เขาเลยเชิญผมเข้าไปในห้อง (งานงอก อีกรอบแล้ว) เค้าให้รอ สแกนลายนิ้วมือครับ ในขณะที่เพื่อนผมเดินผ่านด่าน ตรวจเข้าไปรอด้านในเล้วเรียบร้อย สิบนาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก ทางเจ้าหน้าที่บอกกับเพื่อนของเขาอีกคนว่าผมโอเคแล้ว แล้วให้กลับไปเข้าแถวรอเช็คพาสปอร์ตพร้อมยื่นเอกสารที่เตรียมมา…หลังจากนั้นผมก็ผ่านด่านตรวจของสิงคโปร์ แล้วขึ้นรถที่ทางผู้ประกอบการจัดหาไว้เดินทางไปสู่ที่พัก
…วันแรกที่เข้าที่พัก แหมคิดว่าจะไม่มีอะไร ….ชั่วครู่หลังจากยืนงงกับที่พักพร้อมกับคิดว่าที่เนี่ยนะ ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนใช้มือโอบเอวของผม แต่ทว่าจริงๆแล้วมันไม่มีใครครับ ผมหันรีหันขวางมองรอบๆตัว ก็ไม่มีอะไรเลย….นึกในใจ….เอาน่า…คงไม่มีอะไรหรอก แต่ผมกวาดสายตามองรอบๆ มีตู้เสื้อผ้าหลายตู้แต่ว่าหลังตู้เนี่ยสิ มีศาลเพียงตาอยู่ด้านบนพร้อมเครื่องเส้นไม่ว่าจะเป็น ลิปสติก ตลับแป้งแต่งหน้า ธูปเทียน โอ้ววว จัดเต็ม.. แถมข้างๆตู้ยังมีชุดจีนกี่เพ้าห้อยไว้อีกด้วย แล้วมันของใครล่ะ???
อาคารเก่าอยู่ชั้นสามคล้ายๆคอนโดห้องสวีทมีสี่ห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องอาบน้ำ หนึ่งห้องครัวและห้องโถง (Living room) มีท่อทิ้งขยะใกล้ๆห้องครัว เคยได้ยินมาว่า ถ้าเป็นศาลเจ้าเขาจะเอาไว้ที่พื้นแล้วมีรูปตาแป๊ะแก่ๆ อยู่ข้างใน แต่ศาลเพียงตาที่ผมเห็นไม่มีอะไรด้านในเลยแต่ใครไม่รู้นำไปวางไว้หลังตู้ สภาพก็คงจะนานพอสมควร สังเกตุได้จากฝุ่นที่เกาะอยู่
หลังจากเลิกงานกลับมานอน มีอยู่คืนหนึ่ง ผมครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมเห็นผู้หญิงผิวขาวหน้าตาคล้ายคนจีน ผมยาว รูปร่างค่อนข้างสูงนอนกอดผมแล้วเธอก็เงยหน้ามองผมแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก เธอกึ่งเปลือยครับ ทว่าทันใดนั้น เหอะๆ กำลังเคลิ้มผมก็สะดุ้งตื่นซะก่อน ก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกนะ คงฝันไปน่ะ
หลายวันผ่านไปกับการเริ่มงาน ทั้งเพลียและปรับตัว ไปตรวจร่างกาย ไปยื่นเอกสารที่กรมแรงงานสิงคโปร์ (ไปหลายครั้งมาก) จนกระทั่งถึงเวลาพิมพ์ลายนิ้วมือ(thumbprint) เพื่อรอรับ work permit card (เป็นการ์ดแข็งสีเขียวอ่อนคล้ายบัตร ATM)
วันหนึ่งกำลังจะอาบน้ำไปทำงาน ขณะที่อยู่ในห้องน้ำรู้สึกว่ามีปอยผม เขี่ยที่หลังผม เห้อ…คิดในใจว่า…อีกแล้วหรือเนี่ย ผมหันกลับไปโดยเร็ว….ไม่มีอะไรเช่นเดิม ผ่านไปหลายวัน ก่อนผมไปรับการ์ด เจ้ากรรม…ผมทำพาสปอร์ตหาย ตายล่ะ…เพื่อนที่โน่นพาไปช่วยหาหลายที่เพราะก่อนหน้านั้นเค้าพาผมไปเที่ยว ตามหาหลายๆที่ไม่ยักกะเจอครับ
จนวันสุดท้ายก่อนไปกงศุลตามที่ผู้จัดการบอก ผมเลยไปกับเพื่อนไปที่สุดท้ายที่นึกได้ ก่อนไปเพื่อนคนไทยบอกว่า ลองไปไหว้ขอที่ศาลเพียงตาบนหลังตู้สิ ไม่แน่อาจจะเจอ ช่วยไม่ได้ครับ ความหลังสุดท้าย …ผมเลยทำตามที่เพื่อนคนไทยที่ทำงานด้วยกันบอก หลังจากนั้นก็ออกไปกับเพื่อนที่โน่นมุ่งหน้าตามล่าพาสปอร์ต ที่ร้านอาหารไทยที่นึงซึ่งเราไปกินข้าววันนั้นหลังจากที่ไปเที่ยวผับกันก่อนรู้ว่าพาสปอร์ตหาย
…ไม่อยากจะเชื่อเลย เจอครับ…โชคดีเป็นบ้าเลยไม่งั้นคงซวยแน่ๆ พนักงานเขาเก็บไว้ให้ เค้าว่ามันหล่นอยู่ เค้ากะว่าเดี๋ยวเจ้าของ (ผมเอง)คงมาตามคืน ผมกลับมาซื้อเครื่องเส้นไปวางไว้ที่ศาลนั่นเลยแหละ คงต้องแบบนี้แล้วล่ะ อยากจะบอกว่าที่เจอๆกันน่ะไม่ใช่ผมคนเดียวนะครับ โดนกันถ้วนหน้าเลย แล้วแต่ใครเจอแบบไหน บ้างก็เห็นมายืนปลายเตียง บ้างก็มาร้องเพลงให้ฟังข้างๆหู บ้างก็โดนดึงแข้งดึงขา ไม่เว้นแม้แต่กลางวี่กลางวัน จนชินเหมือนเรื่องปกติ คนนี้โดนที คนนั้นโดนที หลากหลายมากเล่าไม่หมด ส่วนรอบหลังผมนั้งเล่นอยู่กับเพื่อนๆ ตอนเที่ยงๆ กลางห้องโถง บางคนก็ทานอาหารอยู่ ขอโทษ…ประตูห้องนอนห้องนึงซึ่งปิดอยู่แบะมีเพื่อนนอนหลับอยู่ด้านใน ค่อยๆเปิดออกเอง ทั้งที่มันล็อคอยู่ เพื่อนที่นั่งทานอาหารอยู่ถึงกลับตาค้างเลย เพื่อนคนนึงเดินไปปิดหลังจากนั้นราวครึ่งชั่งโมง พวกเรากำลังนั่งวิพากวิจารณ์อยู่ เสียงประตูห้องเดิมเปิดออกอีกครั้ง โอ้ววว …หัวใจจะวาย แต่ครั้งนี้กลับเป็นเพื่อนผมเดินเมาขี้ตาออกมา ถามผมว่า เมื่อกี้ใครเรียก… ผมบอกไม่มีใครเรียก…แต่เค้าบอกว่า เมื่อกี้มีคนเรียกให้ออกมาทานอาหารด้วยกัน….!!!
ด้วยความสงสัยเลยพยายามเสาะหาข้อมูลว่าเหตุการณ์เหล่านี้มาจากอะไรกันแน่ และแล้วก็ได้ความว่า เธอเป็นผู้หญิงจีนเป็นนักร้องมาร้องเพลงที่นี่แล้วก็เสียชีวิตที่พักแห่งนี้นานมาแล้ว
ท้ายสุดผมโดนอีกรอบ วันนั้นผมออกจากที่พักคนสุดท้าย ซึ่งก็แน่นอนผมต้องเป็นคนล็อคประตู ผมสังเกตุว่าทุกห้องปิดประตูเรียบร้อยเลยเดินหันหลังออกแล้วเอื้ยมมือไปปิดสวิทช์ไฟซื่งอยู่ใกล้ไประตูทางออก ทันใดนั้น...เสียงปืดประตูดัง ...โครม..จากด้านในดังอีกครั้ง ทั้งที่ไม่มีใครอยู่เพราะผมเป็นคนท้ายสุด มือผมที่จับลูกบิดซึ่งกำลังจะปิดประตูใหญ่ด้านหน้า ผมดันให้มันเปิดอีกรอบพร้อมยื่นศรีษะเข้าไปชำเรืองดู แต่ทว่าสิ่งที่เห็นคือประตูทุกห้องยังปิดสนิท...อึ๋ยยย..ผมรีบปิดเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วดึงลูกบิดจะปิดประตูใหญ่ ขณะนั้นรู้สึกได้ว่ามีแรงผล้กจากด้านในผลักประตูให้ปิดโดยที่มือผมบังไม่ได้ออกแรงดึง ทั้งๆที่ฝนก็ไม่ตกแล้วก็ไม่มีลมพัดซักแอะ
หลังจากผมเลิกงานกลับมาผมพยายามเช็คประตูทุกบานว่ามันปิดแล้วจะเสียงดังไหม แต่ว่ามันไม่ดังน่ะมันไม่ดังขนาดเท่าที่ได้ยิน แถมประตูใหญ่ก็ไม่มีแรงดันมากขนาดที่ผมรู้สึกเหมือนตอนก่อนออกไป
ก็เป็นอันว่า...ละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วกันครับ
… หลังจากนั้นผมก็ไปรับ work permit card ใช้ถือแทน passport ใช้ส่งเงิน ใช้ซื้อ sim card โทรศัพท์ ใช้ซื้อบัตรเติมเงิน ซื้อบัตร MRT( ใช้ได้ทั้งรถเมลและแท็กซี่ในบัตรเดียว) คือใช้แสดงให้พนักงานดูน่ะครับแล้วเขาจะสแกนโค๊ดน่ะเพราะเราเป็นต่างชาติ เราหันมาดูส่วนอื่นของสิงคโปร์กันบ้าง สิงคโปร์ เป็นประเทศที่น่าอยู่ แต่ค่าครองชีพแพงไปหน่อย ใช้เงินดอลล่าห์สิงคโปร์ (SGD) อัตราแลกเปลื่ยน 1 ดอลล่าห์ ประมาณ 24 บาทแล้วแต่ค่าเงินที่ขึ้นลง สะอาดใช้ได้เลย ถนนไม่มีฝุ่น แต่ที่ๆไม่สะอาดก็มีนะ หนูวิ่งกันให้คลั่กตัวเกือบเท่าแขนแน่ะ ภาษาที่ใช้ คือ ภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีนกลาง ฮกเกี้ยน มาลายู
เป็นระเบียบมากข้ามถนนต้องกดสัณญาณไฟให้รถหยุด ไม่งั้นโดนจับเสียค่าปรับ 300 SGD (ลองคำนวนเอานะครับ) ที้งขยะลงพื้นปรับ 300 SGD,สูบบุหรี่ไม่เสียภาษี(คือทุกซองและทุกมวนจะมีตัวหนังสือบางๆติดอยู่แสดงถึงการเสียภาษีแล้ว)ปรับมวนละ 300 SGD,ต้องคดียาเสพติดและก่อเหตุกระทำชำเลาผู้หญิง โทษสถานเดียว คือ ประหารชีวิต (โหดโฮกๆ..แต่ก็ดีนะข้อนี้)
หลบหนี work permit คือได้การ์ดแล้วหนีหายหรือหนีไปทำงานที่อื่น ทั้งจำและปรับ 2000 SGD,ไม่มีใบอนุญาติทำงาน(ใบอนุญาติมีหลายประเภทครับขอบอก) จับส่งกลับประเทศภูมิลำเนาแถมติด backlist ห้ามเข้าประเทศสองปีเท่าที่จำได้
เดินทางสะดวกรถเมลเยอะหยอดเหรียญครับ ติดแอร์ทุกคัน แท็กซี่น้อยไม่เหมือนเมืองไทย มีรถไฟฟ้า MRT สถาปัตยกรรมตามอาคารเป็นแบบโมเดิลมาก อาคารรูปทรงเลขาขณิต แปลกๆก็แยะ มีคาสิโน ที่อ่าว มารีน่าเบย์ แน่นอนสิ่งที่ไม่ควรพลาดที่ปากแม่น้ำสิงคโปร์ กับรูปปั้นรูปสิงโตที่มีหางเหมือนปลา (Merlion) และรวมไปถึง universal studio singapore เจ๋งสุดๆในเอเชียค่าเข้าคนละ 1700 บาท แล้วก็ชิงช้ายักษ์ singapore flyer ค่าขึ้นคนละ 700 บาทต่อคนขึ้นได้ 25 คนต่อหนึ่งกระเช้า แถมติดแอร์ด้วยครับ ดูวิวรอบสวยมายกเว้นทะเล ที่เต็มไปด้วยเรือส่งสินค้า แหล่งช้อปปิ้ง simlim,mustafa ถูกและเยอะมากโดยเฉพาะช้อกโกแลต และสุดท้ายสนามฟุตบอลลอยน้ำ ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่ร้อยละ 90% ใช้มือถือ iphone
หลายคนอาจอยากรู้ว่า ลอดช่อง สิงคโปร์ มีจริงไหม ขอตอบว่ามีครับ แต่มันจะสีเขียวและสั้นๆเป็นตัวๆไม่นิ่มมากนักกินกับเม็ดบัวและน้ำกะทิ อีกอย่างนึงที่ขึ้นชื่อคือ ลักซ่า(Laksa)คล้ายขนมจีนบ้านเราแต่รสชาติไม่เหมือนะเส้นก็ไม่เหมือนคล้ายๆ ราเม็งน่ะ
ร่ายมาเยอะแระ.. น่าเสียดายผมไปอยู่แค่สามเดือนครึ่งจากกำหนดสัญญาหกเดือน ก็ต้องกลับเพราะสถานประกอบการจะปิดปรับปรุง เลยต้องขอ cancel work permit กลับไทยก่อนแถมต้องพักอีกหนึ่งปีจึงจะยื่นเอกสารเข้าได้ใหม่ตามกฏหมายใหม่ของ MOM singapore.(แต่ได้ยินมาว่าจะเปลื่ยนกฏหมายข้อนี้ใหม่อีกรอบเร็วๆนี้)
...เจอกันใหม่ครั้งหน้าครับ เดี๋ยวจะกลับมาเล่าให้ฟัง กับเรื่องราวใน มาเลเซีย