**เรื่องจากประสพการณ์ของเจ้าของบล็อคนี้,มุมมอง,บทความที่ชอบ,นิยาม,ปรัชญาซึ่งนำมาเพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ตัวเอง**


บางบทความมีลิขสิทธิ๋


























Friday, May 8, 2020
covidvisualizer.2020 CLICK HERE

Read More

10 วันใน Tokyo

Thursday, April 16, 2015
ส่วนที่จะให้แสดง ส่วนที่เหลือ
TOP

Read More

"2 โหล 20"

Thursday, June 5, 2014
สำหรับใครที่ชื่นชอบการออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยาน ผมมีเคล็ดไม่ลับมาฝาก คือการยืดกล้ามเนื้อหลังปั่นจักรยาน หลักในการยืดกล้ามเนื้อ ที่จะนำเสนอให้เพื่อน ๆ นักปั่น จำกันง่าย ๆ ก็คือ " 2 โหล 20 " 

เนื่องจากท่าที่เราจะทำการยืดกล้ามเนื้อกันมีจำนวนทั้งหมด 12 ท่า ทำซ้ำท่าละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20 วินาที และหายใจสม่ำเสมอขณะยืดกล้ามเนื้อ อย่ากลั้นหายใจ 

ท่าที่ 1 ยืดกล้ามเนื้อน่อง (มัดยาว) : ยืนก้าวขาไปข้างหน้า 1 ก้าวใหญ่ ปลายเท้าทั้ง 2 ข้างให้ชี้ไปด้านหน้า แล้วย่อเข่าขาข้างหน้า ในขณะที่ขาข้างหลังยืดตรง ส้นเท้าติดพื้นตลอดเวลา อย่าให้ลอย ลำตัวตั้งตรงไม่โน้มไปข้างหน้า มือเท้าเอวแล้วดันสะโพกไปข้างหน้า จะรู้สึกตึงบริเวณน่องและข้อพับเข่าด้านหลัง 

ท่าที่ 2 ยืดกล้ามเนื้อน่อง (มัดสั้น) : ยืนกางขา ความกว้างเท่าไหล่ ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ เท้าติดพื้นทั้งฝ่าเท้า วางมือแตะพื้นอยู่ระหว่างขา 2 ข้าง โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ไม่ให้ส้นเท้าลอยขึ้นจากพื้น จะรู้สึกตึงบริเวณน่อง 

 ท่าที่ 3 ยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง : ยืนก้าวขาไปข้างหน้า 1 ก้าวใหญ่ กระดกข้อเท้าขาที่อยู่ข้างหน้าขึ้นให้เต็มที่ แล้วย่อเข่าข้างหลัง โน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมกับทิ้งก้นไปด้านหลัง จะรู้สึกตึงบริเวณข้อพับเข้าด้านหลัง 

ท่าที่ 4 ยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า : ยืนตัวตรง เท้าชิดกัน พับขาข้างใดข้างหนึ่งไปข้างหลังให้ส้นเท้าแตะก้น ใช้มือข้างเดียวกันจับที่ปลายเท้าแล้วดึงเข้าหาตัวให้หัวเข่าข้างที่พับอยู่เสมอหรืออยู่หลังต่อหัวเข่าข้างที่เป็นขายืน ลำตัวยืดตรง ไม่ก้มหน้า จะรู้สึกตึงบริเวณหน้าขา 

ท่าที่ 5 ยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านใน (ขาหนีบ) : ยืนกางขากว้างประมาณ 2 ช่วงไหล่ ย่อเข่าลงให้มากที่สุด ก้มตัวไปข้างหน้าพร้อมกับใช้มือดันบริเวณเข่าฉีกขาไปด้านหลัง จะรู้สีกตึงบริเวณต้นขาด้านใน 

ท่าที่ 6 ยืดกล้ามเนื้อหลัง : ยืนตัวตรง เท้าชิด แล้วก้มตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้มือแตะพื้น เข่าตรง-ห้ามงอ พร้อมกับก้มศีรษะให้สายตามองลอดหว่างขาไปด้านหลัง จะรู้สึกตึงบริเวณหลังขา หลัง และคอ 

ท่าที่ 7 ยืดกล้ามเนื้อหน้าท้อง (มัดตรง) : ยืนตัวตรง มือทั้ง 2 ข้างวางที่บั้นเอวด้านหลัง แล้วแอ่นตัวพร้อมกับใช้มือดันบั้นเอวไปข้างหน้า เงยหน้าขึ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระวังอย่าให้หงายหลัง จะรู้สึกตึงบริเวณคอ หน้าท้อง และขาหนีบ 

ท่าที่ 8 ยืดกล้ามเนื้อหน้าท้อง (มัดเฉียง) : ยืนตัวตรง แอ่นสะโพกไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วเอียงตัวไปด้านใดด้านหนึ่ง จะรู้สึกตึงบริเวณด้านข้างลำตัว 

ท่าที่ 9 ยืดกล้ามเนื้อหน้าอก : ยืนตรง กางแขนข้างใดข้างหนึ่งไปด้านข้างระดับเดียวกับไหล่ พับศอกตั้งตรงให้นิ้วทั้ง 5 นิ้วชี้ขึ้นฟ้า แล้ววางแขนทาบกับผนัง เสา ต้นไม้ หรือเพื่อนข้าง ๆ หันหน้าและบิดตัวไปทางแขนอีกข้างหนึ่ง จะรู้สึกตึงบริเวณหน้าอก 

ท่าที่ 10 ยืดกล้ามเนื้อแขนท่อนบน : ยืนตัวตรง มือทั้ง 2 ข้างประสานกันข้างหลัง ไม่ต้องบิดมือ แล้วดันแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นพร้อม ๆ กัน จะรู้สึกตึงบริเวณท้องแขน 

ท่าที่ 11 ยืดกล้ามเนื้อแขนท่อนล่าง : ยืนตัวตรง ยื่นมือข้างใดข้างหนึ่งมาข้างหน้า คว่ำมือลงให้ปลายนิ้วทั้ง 5 นิ้วชี้ลงพื้น แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งกดมือเข้าหาตัวและดึงมือให้เอียงไปด้านนิ้วก้อยของมือที่ถูกกดเล็กน้อย ไม่ยกไหล่ จะตึงบริเวณแขนท่อนล่าง 

ท่าที่ 12 ท่ายืดกล้ามเนื้อคอ-บ่า : ยืนตัวตรง เก็บคางเข้าหาตัว แล้วก้มหน้าให้คางชิดอก เอามือทั้ง 2 ข้าง ช่วยกดศีษระเล็กน้อย หลังตรงไม่งอ จะรู้สึกตึงบริเวณต้นคอ 

แนะนำเพิ่มเติมในนักปั่นที่ปั่นระยะทางไกล ๆ ปั่นเร็ว ๆ หรือปั่นนาน ๆ ให้เพิ่มจำนวนชุดในการยืดกล้ามเนื้อขึ้น เป็น "5 โหล 20" และหายใจเข้าขออกอย่างสม่ำเสมอ ท่ายืดกล้ามเนื้อเหล่านี้ให้ทำหลังจากขี่จักรยานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่าไหนทำไม่ได้ไม่ต้องฝืน และสามารถทำท่าอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ 
ในกรณีของนักปั่นที่มีการบาดเจ็บเดิมอยู่แล้วให้ทำเท่าที่ทำได้ อย่าให้เจ็บและเมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นให้หยุดทันที 
12 ท่า ไม่ยากที่จะทำ ไม่เสียเวลาจนเกินไป น้องหนิมไม่รังควาญทั้งรถจักรยานและตัวเรา เริ่มตั้งแต่วันนี้จะได้สนุกการปั่นจักรยานไปได้นาน ๆ ครับ


ที่มา :https://m.facebook.com/werideforfun?_mn_=11

TOP

Read More

ตลุยปีนัง...มาเลเซีย

Saturday, February 1, 2014
ห่างหายไปซะนาน เพราะมัววุ่นอยู่กับงานครับ เดินทางไปโน่นมานี่อยู่เรื่อย
ว่าแล้วมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

11 มิถุนายน 2012….



ผมเดินทางไปทำงานกับกลุ่มเพื่อนๆ สายงานการแสดงเหมือนเดิมครับ 
หากแต่ว่าผู้ร่วมงานไม่เหมือน ครั้งที่ไปสิงคโปร์ จะมีก็แค่เพื่อนนักดนตรีที่เล่นตำแหน่งคีย์บอร์ดคนเดียว นอกนั้นคนใหม่ทั้งหมดรวม 14 ชีวิต ตามสัญญาว่าจ้างจากผู้ประกอบการที่โน่น
ออกจากกรุงเทพโดยเครื่องบินไปลงที่หาดใหญ่ แล้วทางผู้ประกอบการได้จัดรถตู้สองคันมารับที่สนามบินหาดใหญ่ จากนั้นใช้เวลาเดินทางไปอีก ชั่วโมงเศษๆก็เข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง อำเภอสะเดา แล้วผ่านเข้าเขตประเทศมาเลเซีย
จากจุดนั้นเดินทางไปอีกสามชั่วโมงก็ถึงสะพานข้ามไปเกาะปีนัง ซึ่งสะพานนี้มีความยาวถึง 13 กิโลเมตรเลยทีเดียว วิวโดยรอบสวยงามครับ มองเห็นเกาะเล็ก เกาะน้อย เป็นทิวทัศน์ที่น่ามอง ปีนัง เป็นรัฐๆ นึง ในประเทศมาเลเซีย มีสองเขต ส่วนที่ยังไปข้ามสะพานไปเรียกว่า บัตเตอร์วอร์ท และส่วนที่ข้ามสะพานปีนังไปแล้วเรียกว่า จอช์จทาวน์ ครับ ซึ่งคณะพวกผมต้องทำงานที่นั่น ผู้คนที่ปีนังก็เป็นคนจีนเชื้อสายมาเล คนมาเลโดยกำเนิด และคนอินเดีย รวมทั้งบังคลาเทศ
การเดินทางที่นั่นมีรถเมล์ครับแต่ดูเหมือนจะน้อยกว่ารถยนต์ส่วนตัวนะตามที่เห็น เพราะเวลารอขึ้นรถเมล์นานๆจะโผล่มาสักคันนึง ส่วนแท็กซี่มิเตอร์ก็มี แต่โบกทีไรบัง แกคิดราคาเหมาทุกที ไม่รู้เพราะอะไร แล้วจะมีมิเตอร์ไว้….เพื่อ?
อาหารประเภทหมู จะหารับประทานยากหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นไก่กับเนื้อ ส่วนผักราคาค่อนข้างแพงครับ ส่วนที่น่าแปลก คือ ราคาน้ำมันถูกกว่าเมืองไทย อยู่มากครับ ส่วนก๊าซ LPG ราคาแพงกว่าเมืองไทยครับ ที่พักของผมเป็นคอนโด ครับใหญ่มากสะอาด ผมอยู่ชั้น 14 และมีฟิตเน็คคลับอยู่ชั้น 5 ….เยี่ยมไปเลยขอบอก
ค่าเงินมีหน่วยเป็น ริงกิต "RM" (Ringgit Malaysia) ครับ
ส่วนอัตราแลกเปลื่ยนจะอยู่ที่ 1 ริงกิต เท่ากับ 10 บาท

ช่วงที่ผมไปมีการจัดงานเทศการศาลเจ้าของคนจีนมาเล ก็จะมีการแสดงขับกล่อมบทเพลงตามศาลเจ้าต่างๆเป็นเวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนครับ เล่นเอาผมนอนไม่ได้ต้องหา Ear-plug มาอุดหูกันเลย หลายคนสงสัยว่า เห็นลงเรื่องลี้ลับหลายเรื่องที่ไปมา แล้วที่มาเลไม่เจอบ้างหรืองัย …!!!!!
หึหึ…เจอซิครับ แต่ไม่จัง แหม!!!!

ก็ช่วงเทศกาลนี้แหละพอดิบพอดี วันหนึ่ง ผมอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน รวมทั้งเพื่อนๆด้วย ระหว่างที่ผมออกจากห้องน้ำ ก็มองไปด้านเทอร์เรซด้านนอกซึ่งเป็นกระจกบานเลื่อน …โอ้ววว …พระเจ้า…
ผมเห็นผู้หญิงหน้าตาคมๆผิวสี เอวบางร่างน้อยเธอใส่กางเกงและใส่เสื้อแขนสามส่วนสีค่อนข้างขาว นั่งอยู่ด้านนอกระเบียงเทอร์เรซนั้น ซึ่งเป็นจุดที่พวกเราชอบไปนั่งเล่นรับลม สูบบุหรี่ อะไรทำนองนั้น แต่ผู้หญิงหน้าตา มาเล๊ มาเล คนนั้นมาจากไหนอ่ะ พวกเราไม่มีใครเป็นมาเลเชื่ยน นะ!!!!
ผมจ้องมองไปที่เธอ เธอเองก็จ้องมาที่ผม มันทำให้ผมงง เลยหันไปถามเพื่อนที่รออาบน้ำต่อจากผทนั้นว่า เห็นผู้หญิงนั้งอยู่ระเบียงมั้ย เพื่อนตอบว่า ไม่เห็นมีใครนี่ …!! พอผมหันกลับไปพร้อมกับเอ่ยปากพูดว่า ก็นั้นงัย พร้อมเดินไปที่ระเบียงเทอร์เรซ แต่ทว่าไม่มีใครเลย ไม่มีใครนั่งอยู่ที่นั่น ผมคิดในใจว่า “โดนซะแล้วงัย”
คนอื่นๆก็มีเจอกันบ้างพอมีสีสันประเภทเห็นเงาในห้อง แต่เปิดห้องไม่เจอใครเลย ก็มีประมาณนี้ครับ ผมทำงานที่ปีนัง หนึ่งเดือนกับยี่สิบวัน แล้วพวกผมก็ขอกลับ เพราะเนื่องจากหุ้นส่วนบริหารมีปัณหากันเอง แต่พวกผมก็ดีใจครับที่ทำยอดขายของร้านผู้ประกอบการ ได้กำไรมาก และเป็นยอดที่มากที่สุดตั้งแต่มีคนไทยไปทำงานที่นั่น รวมทั้งผู้ร่วมงานคนมาเล ทุกคนอัธยาศัยดีมาก เป็นกันเองด้วย
ดีใจที่ได้มีโอกาสไปที่นั่น ดีใจที่นำเม็ดเงินกลับเมืองไทย และดีใจที่ปลอดภัยกลับมา…….
TOP

Read More

ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ

Friday, January 31, 2014
ยีน คอนลิน นักเทคนิคการแพทย์ ได้รวบรวมสรรพคุณของพืชผักช่วยรักษาโรค 
พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฮาร์เปอร์คอนลิน นิวยอร์ก กล่าวถึง สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิด 
ว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไร ไว้ในหนังสือชื่อ " ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ " เช่น

1. ปวดหัว กินปลามาก ๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลา มีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง 

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือ นมเปรี้ยว

3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และ ขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูก แคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว ) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

9. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้ กินข้าวโพด ช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีส อยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครง หรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย 13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง

14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลี จะช่วยป้องกันได้ดี โดยเฉพาะรำข้าง และกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญ อย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต

15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และ ลำไส้เล็กหายขาดได้

17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง

18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี " โมโรอันแซตเทอเรต " ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว " คลอเลสเตอรอล " ได้

19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่าย พืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง

20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และ ถั่วลิสง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ 

พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้น นอกจากจะอิ่มท้องแล้ว
ยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกาย ช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆ ได้ 
ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร 
โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้น นับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทย
เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานไทย ขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติ ที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของเราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง
ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า และคิดค้น ตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้ เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป

TOP

Read More

ผู้ชายมาจากดาวอังคาร..ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์..

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ขณะที่ชายหนุ่มบนดาวอังคารส่องกล้องทางไกลไปบนท้องฟ้า ทันทีที่มองเห็นหญิงสาวบนดาวศุกร์ เขาก็ตกหลุมรักเธอและรีบประดิษฐ์ยานอวกาศเพื่อเดินทางมายังดาวศุกร์ทันทีสาวบนดาวศุกร์ออกมาต้อนรับหนุ่มจากดาวอังคาร ด้วยความยินดี เธอรู้อยู่ตลอดเวลาว่าวันนี้จะต้องมาถึง เธอพร้อมแล้วที่จะพบกับความรักที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ความรักระหว่างหนุ่มจากดาวอังคารและสาวจากดาวศุกร์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ทั้งสองมีความสุขที่อยู่ร่วมกัน ทำสิ่งต่าง ๆ และแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกันแม้ว่าทั้งสองจะมาจากดาว (เคราะห์) คนละดวง แต่พวกเขาก็ยอมรับความแตกต่างของอีกฝ่ายหนึ่งทั้งสองใช้เวลาเป็นเดือน ๆ เพื่อเรียนรู้ความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความต้องการ ความชอบและพฤติกรรมที่ไม่เหมือนกัน ทั้งสองอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเข้าใจมาเป็นเวลาหลายปีแต่อยู่มาวันหนึ่ง ทั้งสองก็ตัดสินใจออกเดินทางไปอยู่บนดาวดวงใหม่ชื่อว่า “ โลก ” 

ใน ช่วงแรกทุกอย่างดูสวยงามและเต็มไปด้วยความสุข แต่บรรยากาศบนโลกก็ทำให้ทั้งสองมีอันแปรเปลี่ยนไป เช้าวันหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมาทั้งสองคนก็จำเรื่องราวอะไรในอดีตไม่ได้อีกเลย พวกเขาไม่รู้ว่าแต่ละคนมาจากดาวคนละดวง และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกัน ตั้งแต่วันนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียนรู้มาถูกลบไปจากความทรงจำจนหมด ความขัดแย้งต่าง ๆ ก็เริ่มก่อตัวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จำได้ไหมว่าเราเคยแตกต่างกันเมื่อ จำไม่ได้ว่าแต่ละคนแตกต่างกัน และผู้ชายไม่มีวันเหมือนผู้หญิงอย่างเด็ดขาดทำให้เรามักโกรธหรือไม่เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ ๆ เราคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องคิดและทำเหมือนกับเราเราอยากให้อีกฝ่ายหนึ่ง “ ชอบเหมือนกับที่เราชอบ” และ “ รู้สึกเหมือนกับที่เรารู้สึก ”เรา คิดผิดไปว่า ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งรักเราแล้ว พวกเขาจะแสดงออก และประพฤติในแบบเดียวกันกับเรา ความคิดแบบนี้ทำให้ต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่มีเวลามาสนใจเรื่องความแตกต่างของทั้งสองฝ่าย ความรัก เป็นสิ่งมหัศจรรย์ เมื่อไรที่คุณพบความรัก มันจะทำให้คุณรู้สึกอยากมีชีวิตที่เป็นอมตะ และคิดว่าความรักจะยืนยงไปตลอดกาล เรามักคิดว่า บางทีเราคงไม่พบปัญหาเหมือนกับที่พ่อแม่ของเราพบเราได้แต่หวังว่าจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขตลอดไป และไม่ยอมรับความจริงที่ว่าความรักก็ตายไปได้เหมือนกันแต่เมื่อความมหัศจรรย์หายไปและโลกความเป็นจริงปรากฏขึ้น ผลก็คือผู้ชายยังคิดว่าผู้หญิงจะคิดและทำเหมือนผู้ชายและผู้หญิงคิดว่าผู้ชายจะรู้สึกและแสดงออกเหมือนผู้หญิง โดยไม่เคยคิดถึงความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายเลยแม้สักนิดไม่เคยสละเวลามาทำความเข้าใจ และยอมรับความแตกต่างของแต่ละฝ่ายแม้แต่นิดเดียว เรากลายเป็นพวกที่ชอบเรียกร้อง ไม่พอใจ มีอคติต่อคนอื่น และไม่มีความอดทน เมื่อส่วนที่ดีที่สุดของความรักเริ่มจางหายไป ปัญหาก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น การพูดคุยลดน้อยลง และมีความหวาดระแวง ทำให้ต้องเก็บกดความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ข้างใน ถึงต้อนนี้ มหัศจรรย์แห่งรักก็หายไปเหลือแต่คำถามที่ค้างอยู่ในใจว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมจึงเกิดขึ้น? ทำไมต้องเกิดกับเราสองคนด้วย? เพื่อ ให้ได้คำตอบ จิตใจเราจะพยายามค้นหารูปแบบและปรัชญาที่ซับซ้อนต่าง ๆ มากมายมาใช้เป็นคำตอบ แต่มันช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะความรักได้มลายหายไปเสียแล้ว... ในทำนองเดียวกัน เมื่อผู้ชายตกหลุมรัก เขาจะถูกกระตุ้นให้ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อบริการผู้อื่น เขาเชื่อมั่นว่าสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ นี่เป็นเวลาที่เขาจะพิสูจน์ฝีมือตัวเองให้มากที่สุด ยกเว้นแต่ว่าเขาจะทำไม่สำเร็จเท่านั้น เขาจึงจะหันกลับไปเป็นคนเห็นแก่ตัวเหมือนเดิม

 ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ 
ขอเพียงเปิดโอกาสให้เขาพิสูจน์ตัวเองเท่านั้น ผู้ชายจะทำดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ 
ยกเว้นแต่ว่าเขาจะทำไม่สำเร็จเท่านั้น เขาจึงจะหันหลับไปเป็นคนแก่ตัวเหมือนเดิม
 ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ 

เมื่อผู้ชายมีความรัก เขาสนใจคนอื่นมากพอ ๆ กับสนใจตัวเอง เขาหลุดออกมาจากความคิดที่ทำเพื่อตัวเองมาเป็นการทำงานเพื่อคนอื่น เขาทำให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความสุขเหมือนที่ทำให้กับตัวเอง เขาอดทนและทำทุกอย่างได้เพียงเพื่อให้เธอมีความสุขเท่านั้น เพราะความสุขของเธอก็เหมือนกับความสุขของเขาเช่นกัน ในวัยเด็ก ผู้ชายสนุกกับการเอาใจใส่ตัวเอง แต่เมื่อเริ่มเป็นผู้ใหญ่ การเอาใจใส่ตัวเองอย่างเดียวไม่พอ เพื่อทดแทนสิ่งที่หายไป เขาทำให้ชีวิตตื่นเต้นขึ้นด้วยการมีความรัก ด้วยการทำสิ่งต่าง ๆ ให้คนอื่นโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เป็นสิ่งที่เขาอยากทำมานานแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องการความรักตอบก็ตาม แต่ความต้องการสูงสุดของเขาก็คือการให้ความรัก ผู้ชายไม่เพียงแต่ต้องการความรักเพียงความเดียว แต่ดิ้นรนเพื่อให้ได้ความรักเลยทีเดียว ปัญหาก็คือผู้ชายไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร พวกเขาแทบไม่เคยเห็นพ่อทำความพอใจให้กับแม่ของเขาเลยสักครั้ง ผลลัพธ์ก็คือ ทำให้เขาไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงก็คือการเป็นฝ่ายให้ เมื่อความสัมพันธ์เกิดล้มเหลว เขาจะหดหู่ใจและติดอยู่ในถ้ำ เลิกสนใจคนอื่นและไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจึงหดหู่มากขนาดนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ เขาจะวนเวียนอยู่กับการทำตัวห่างออกมาและเข้าไปอยู่ในถ้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาถามตัวเองว่ามีชีวิตอยู่เพื่อใคร และควรจะทำอย่างไร เขาไม่เคยรู้เลยว่าการที่เขาหยุดสนใจคนอื่นนั้น เป็นเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าสำหรับคนอื่น เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาพบใครสักคนที่เห็นค่าในตัวเขาแล้ว เขาจะสามารถสลัดความหดหู่ใจให้หมดไปและมีชีวิตที่น่าตื่นเต้นอีกครั้ง 

 ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~
 ถ้าไม่มีใครต้องการเขา ก็เท่ากับว่าเขากำลังตายไปอย่างช้า ๆ นั่นเอง
 ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ 

เมื่อผู้ชายรู้สึกว่าไม่สามารถทำให้ชีวิตของคนใดคนหนึ่งดีขึ้นได้ เป็นเรื่องลำบากที่จะคงความสัมพันธ์แบบเดิมอีกต่อไป เขาจะตื่นเต้นได้อย่างไรถ้าไม่มีใครต้องการเขาแล้ว ถ้าอยากตื่นเต้นอีกครั้ง ต้องมีใครสักคนที่แสดงความชื่นชม ไว้วางใจ และยอมรับในตัวเขา ถ้าไม่มีใครต้องการเขา ก็เท่ากับว่าเขากำลังตายไปอย่างช้า ๆ นั่นเอง เมื่อผู้หญิงรักผู้ชาย ความรักของผู้หญิงก็เปรียบเหมือนกับที่ชาวศุกร์เชื่อวา ชาวอังคารกำลังเดินทางมาหาเธอ ชาวศุกร์ฝันว่า สักวันหนึ่งจะมียานอวกาศจากสวรรค์บินมาหาเธอนำความเข้มแข็งและอบอุ่นของชาวอังคารมามอบให้กับเธอ ชาวอังคารอุทิศตัวทั้งหมดให้กับความสวยและความดีงามของชาวศุกร์ ชาวอังคารรู้ดีว่า พลังอำนาจและความสามารถของเขาจะไร้ค่าถ้าไม่มีใครให้เขาคอยดูแล พวกเขาตื่นเต้นและยินดีที่จะมีโอกาสรับใช้ คอยเอาใจ และตอบสนองความต้องการของชาวศุกร์ จะมีอะไรมหัศจรรย์มากไปกว่านี้ได้ ความฝันแบบนี้ ทำให้ชาวศุกร์หลายคนหลุดพ้นจากความหดหู่ใจได้ พวกเธอมีความเชื่อฝังใจว่าสักวันหนึ่งชาวอังคารจะต้องมา ความหดหู่ใจของชาวศุกร์นั้น มีสาเหตุมาจากความเหงาและอ้างว้าง ความเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาคอยช่วยเหลือพวกเธอ ทำให้ความหดหู่ใจเลือนหายไป ผู้ชายส่วนมากไม่เคยรู้มาก่อนว่า ความรู้สึกที่มีใครสักคนคอยห่วงใยสำคัญกับเธอมากขนาดไหน ผู้หญิงจะมีความสุขเมื่อคิดว่าพวกเธอจะได้ในสิ่งที่ต้องการ เมื่อผู้หญิงไม่พอใจ อ่อนไหว สับสน เหน็ดเหนื่อย หรือสิ้นหวัง สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดก็คือเพื่อนสักคน เธอไม่ต้องการอยู่คนเดียว ความเห็นใจ ความเข้าใจ ความมีเหตุผล และความปรารถนา มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เธอยอมรับแรงสนับสนุนจากเขา ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความรู้สึกอันนี้ของฝ่ายหญิง เพราะสำหรับเขาแล้ว วิธีที่ดีที่สุดเมื่อเธอไม่พอใจก็คือปล่อยให้เธออยู่คนเดียว เนื่องจากนั่นเป็นวิธีที่ชาวอังคารปฏิบัติต่อกัน เพราะเขาคิดว่าถ้าอยู่ด้วยยิ่งทำให้แย่หนักเข้าไปอีก เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าความใกล้ชิด ความห่วงใย และการแบ่งปันความรู้สึกนั้นสำคัญมากต่อผู้หญิงมากขนาดไหน ถ้ามีใครร่วมรับฟังความทุกข์ของเธอ เธอจะรู้สึกสบายใจขึ้น ความสงสัย และหวาดวิตกจะหายไปทันที เธอจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อรู้ว่ายังมีคนที่รักเธออยู่โดยที่ไม่จำเป็นต้องแสวงหามัน เธอทำตัวตามสบายได้ เป็นฝ่ายให้น้อยลงสักนิด และเริ่มเป็นฝ่ายรับมากขึ้นอีกหน่อยได้ ก็เพราะนี่เป็นสิ่งที่เธอสมควรได้รับอยู่แล้ว

 ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ 
เมื่อไรที่เธอรู้ว่ายังมีคนที่รักเธออยู่ เธอจะทำตัวตามสบายได้มากขึ้น เป็นฝ่ายให้น้อยลงสักนิด 
และเริ่มเป็นฝ่ายรับมากขึ้นอีกหน่อยได้ ก็เพราะนี่เป็นสิ่งที่เธอสมควรได้รับอยู่แล้ว
 ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ 

วิธีแก้ปัญหาของชาวอังคารและชาวศุกร์ เมื่อชาวอังคารพบปัญหา 

เขาไม่ชอบพูดถึงปัญหาและไม่นำปัญหาของตัวเองไปกวนใจชาวอังคารคนอื่น ยกเว้นแต่แก้ด้วยตัวเองไม่ได้แล้วจึงจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เมื่อเจอปัญหาเขาจะหลบอยู่ใน “ถ้ำ” คนเดียวเพื่อหาทางแก้ปัญหา ถ้าเขาหาคำตอบได้ เขาจะดีใจและออกมาจากถ้ำ คำว่า “ถ้ำ” เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำจริง ๆ สิ่งที่ผู้เขียนต้องการบอกก็คือ เวลาเกิดปัญหา ผู้ชายส่วนใหญ่จะเก็บตัวเงียบ ๆ อยู่คนเดียว เช่น อยู่ในห้องทั้งวันโดยไม่ออกมาข้างนอก หรือไม่ก็ไม่ยอมสุงสิงกับใคร เปรียบเหมือนกับการอยู่ในถ้ำนั่นเอง ส่วนผู้หญิงนั้นตรงกันข้าม เมื่อมีปัญหาหรือเกิดเรื่องอะไรสักอย่าง ผู้หญิงจะไม่มีทางอยู่คนเดียวอย่างเด็ดขาด เพราะการทำอย่างนั้นอาจทำให้เธออึดอัดใจได้ สำหรับผู้หญิงแล้ว เมื่อมีปัญหาเธอต้องการพูดหรือเล่าปัญหาให้คนที่เธอไว้ใจฟัง – ผู้เรียบเรียง ถ้าคิดเท่าไรก็ยังหาคำตอบไม่ได้ เขาจะเลือกทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ลืมปัญหานั้น เช่น อ่านหนังสือพิมพ์หรือเล่นเกม การเบี่ยงเบนความสนใจไปที่อื่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ถ้าปัญหาใหญ่มาก เขาจะเบี่ยงเบนความสนใจไปหาเรื่องอะไรที่เสี่ยง ๆ เพื่อต้องการลืมปัญหาไว้ชั่วขณะ เช่น ขับรถแข่ง ไปปีนเขา หรือร่วมการแข่งขันรายการอะไรสักอย่าง 

 ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ 
 เพื่อความสบายใจ ชาวอังคารจะเก็บตัวอยู่ในถ้ำ เพื่อแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
 ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ 

เมื่อชาวศุกร์พบปัญหา เธอจะมองหาใครสักคนที่ไว้ใจได้และเล่าถึงปัญหาที่เจอในวันนั้นอย่างละเอียด เมื่อชาวศุกร์ได้ระบายความรู้สึกออกมา เธอจะรู้สึกดีขึ้นทันที นี่เป็นวิถีทางแก้ปัญหาของชาวศุกร์

 ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~
 เพื่อความสบายใจ ชาวศุกร์จะเข้าหากลุ่ม และพูดถึงปัญหาต่าง ๆ อย่างเปิดเผย 
 ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ 

บนดาวศุกร์ การเล่าปัญหาของตัวเองให้ผู้อื่นฟังถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรักและความไว้ใจ โดยไม่ถือว่าเป็นการสร้างภาระให้อีกฝ่ายหนึ่ง ชาวศุกร์ไม่อายที่จะบอกตัวเองมีปัญหา อัตตาของพวกเธอไม่ได้อยู่ที่ว่าตัวเองต้อง “เก่ง” แต่ขึ้นอยู่กับสายสัมพันธ์ที่มีต่อกันมากกว่า พวกเธอแลกเปลี่ยนความทุกข์ ความสับสน ความสิ้นหวังและความท้อแท้ได้อย่างเปิดเผย ชาวศุกร์จะรู้สึกดีขึ้นมากถ้ารู้ว่าตัวเองมีเพื่อนที่สามารถเล่าเรื่องอะไรก็ได้ ชาวอังคารรู้สึกดีมากเมื่อแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง ความลับในเรื่องนี้ยังใช้ได้ผลจนถึงทุกวันนี้ ได้หลบเข้าถ้ำแล้วสบายใจ เมื่อผู้ชายพบกับปัญหาเขาจะเก็บตัวอยู่ในถ้ำของเขา และทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับการแก้ปัญหา โดยปกติแล้ว เขาจะเลือกปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดหรือยากที่สุดขึ้นมาแก้ก่อน บางครั้งผู้ชายหมกมุ่นอยู่กับปัญหาเสียจนลืมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปัญหาหรือความรับผิดชอบด้านอื่น ๆ ไปจนหมด ในช่วงเวลาอย่างนี้ ผู้ชายจะมีพฤติกรรมในลักษณะที่เหินห่าง ขี้หลงขี้ลืม และเฉื่อยชา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณคุยกับเขา เขาจะให้ความสนใจคุณเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลืออีก 95 เปอร์เซ็นต์หมดไปกับปัญหา เนื่องจากการหมกมุ่นอยู่กับปัญหา ทำให้เขากลายเป็นคนหลงลืมง่าย ๆ ยิ่งปัญหาหนักเท่าไรเขายิ่งติดอยู่กับปัญหานั้นมากขึ้น ทำให้เขาไม่มีเวลาที่จะมาสนใจความต้องการของผู้หญิงได้เลย แต่เมื่อไรที่เขาแก้ปัญหาได้เขาจะรู้สึกสบายใจและออกจากถ้ำของเขาทันที และพร้อมที่จะกลับมาเป็นคนน่ารักได้อีกครั้ง แต่ถ้าเขายังหาคำตอบไม่ได้ เขาก็ออกมาจากถ้ำไม่ได้ เพื่อไม่ให้ติดอยู่ในถ้ำนานเกินไป เขาจะเลือกแก้ปัญหาที่ไม่ใหญ่มากนัก เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ ขับรถ ออกกำลังกาย ดูฟุตบอล เล่นกีฬา ฯลฯ หรือหาอะไรสักอย่างที่ใช้ความคิดเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ทำแทน ซึ่งช่วยให้เขาลืมปัญหาได้ชั่วขณะและหลุดออกมาจากถ้ำได้ หลังจากนั้นค่อยกลับไปหาทางแก้ปัญหาเดิมใหม่อีกครั้ง เราลองมาดูตัวอย่างหนึ่งให้ละเอียดสักหน่อย เมื่อจิมพบกับปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้ จิมจะหยิบหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน การอ่านหนังสือพิมพ์ทำให้เขาเปลี่ยนจุดสนใจจากเรื่องของตัวเองมาเป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ในข่าวแทน (ซึ่งเขาไม่ได้รับผิดชอบโดยตรง) วิธีแบบนี้ทำให้เขาหลุดออกจากการติดอยู่กับปัญหาได้ และมีเวลาให้กับภรรยาและครอบครัวของเขาได้อีกครั้ง ทอมดูฟุตบอลเพื่อผ่อนคลายความเครียด เขาเปลี่ยนจุดสนใจจากการแก้ปัญหาของตัวเองมาแก้ปัญหาให้ทีมที่เขาชอบแทน เขารู้สึกว่าแก้ปัญหาเกมการแข่งขันได้ ถ้าชนะเขาก็ดีใจ ถ้าแพ้เขาก็เสียใจ แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็ช่วยให้เขาลืมปัญหาของตัวเองไปได้ชั่วขณะ สำหรับทอมและผู้ชายหลายคน การดูกีฬา ข่าว หรือภาพยนตร์ ถือเป็นการปลดปล่อยความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงได้ดีที่สุด ผู้หญิงจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร เมื่อผู้ชายติดอยู่ในถ้ำ เขาไม่มีปัญญาเหลือพอที่จะสนใจคนรอบข้างได้อีกต่อไป เป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเธอไม่รู้ว่าปัญหาใหญ่ขนาดไหน ถ้าเขาจะเล่าให้เธอฟังบ้าง เธอคงจะชอบมากกว่านี้ แต่ผู้ชายไม่ยอมพูด เธอจึงรู้สึกว่าเขาไม่ให้ความสำคัญ เธอรู้ว่าเขากำลังแก้ปัญหา แต่เธอตีความผิดที่คิดว่าการที่เขาไม่พูดกับเธอเนื่องจากเขาไม่สนใจตัวเธอ ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าชาวอังคารจัดการกับปัญหาอย่างไร พวกเธอคิดว่าเขาจะพูดถึงปัญหาอย่างเปิดเผยเหมือนกับที่ชาวศุกร์ทำกัน เมื่อผู้ชายติดอยู่ในถ้ำ (หรือยังแก้ปัญหาไม่ได้) ผู้หญิงโกรธที่เขาไม่ยอมบอกเธอ เธอไม่พอใจเมื่อเห็นเขาอ่านหนังสือพิมพ์ หรือออกไปเล่นกีฬาโดยไม่สนใจเธอ ความหวังที่จะเห็นผู้ชายที่ติดอยู่ในถ้ำกลายเป็นคนเปิดเผย กระฉับกระเฉงและน่ารักขึ้นมาทันที เป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์ เหมือนๆ กับที่คาดหวังว่าผู้หญิงจะทำตัวสงบเยือกเย็นและเต็มไปด้วยเหตุผลได้ทันทีหลังจากหายโกรธแล้ว ขอให้ผู้หญิงทั้งหลายอย่าได้หวังว่าผู้ชายจะทำตัวน่ารักกับผู้หญิงเสมอไป และขอให้ผู้ชายทั้งหลายอย่าได้หวังว่าผู้หญิงจะเป็นคนที่เต็มไปด้วยเหตุผลตลอดเวลา เมื่อชาวอังคารอยู่ในถ้ำ พวกเขามักลืมคิดไปว่าเพื่อนของเขาก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน สัญชาตญาณบอกว่าให้เขาสนใจตัวเองก่อนที่จะสนใจเรื่องของคนอื่น ผู้หญิงส่วนมากไม่ชอบและรู้สึกไม่พอใจที่เห็นผู้ชายมีนิสัยแบบนี้ เธออาจเรียกร้องขอให้เขาทำในสิ่งที่เธอต้องการ คล้าย ๆ กับว่าเธอกำลังเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมที่เธอควรได้รับ เมื่อผู้หญิงรู้ว่าผู้ชายมาจากดาวอังคาร ปัญหาความเข้าใจผิดเช่นนี้ก็หมดไป เธอจะเข้าใจว่าพฤติกรรมต่าง ๆ ของเขานั้นเกิดจากความพยายามที่จะแก้ปัญหาของเขาเอง มากกว่าเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีกับเธอ แทนที่จะรู้สึกโกรธเขา เธอกลับพร้อมจะช่วยเหลือเขา ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายจะค่อย ๆ รู้สึกถึงความห่างเหินที่เขามีต่อเธอขณะที่อยู่ในถ้ำ เมื่อผู้ชายรู้ว่าการอยู่ในถ้ำนาน ๆ ส่งผลให้ผู้หญิงรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งและไม่มีความสำคัญ เมื่อรู้ว่าผู้หญิงมาจากดาวศุกร์แล้ว เขาจะเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงได้ดีมากขึ้น 

 ต่อไปนี้เป็นความผิดพลาดใหญ่ ๆ 5 อย่างที่เกิดขึ้นเสมอ 

1. เมื่อเธอพูดว่า “คุณไม่ฟังฉันเลย” เขาตอบว่า “หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าผมไม่ฟัง ผมจำได้ทุกคำเลยว่าคุณพูดอะไรไปบ้าง” เมื่อผู้ชายอยู่ในถ้ำ เขาจดจำสิ่งที่เธอพูดด้วยความจำเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผู้ชายคิดว่า ถ้าเขาตั้งใจฟังได้ 5 เปอร์เซ็นต์ ก็แสดงว่าเขาฟังอยู่ แต่เธอต้องการให้เขาตั้งใจฟัง 100 เปอร์เซ็นต์ 

 2. เมื่อเธอพูดว่า “ฉันรู้สึกเหมือนไม่มีคุณอยู่ตรงนี้เลย” เขาตอบว่า “หมายความว่าอย่าง ไรที่บอกว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้? ก็ผมยืนอยู่ตรงนี้ คุณมองไม่เห็นเลยหรือ?” เหตุผลก็คือ ถ้าเขายืนอยู่ตรงนั้น เธอไม่ควรพูดคำนี้ออกมา แต่ถึงแม้ว่าร่างกายจะยืนอยู่ตรงนั้น เธอไม่รู้สึกว่าเขาอยู่ 100 เปอร์เซ็นต์ และนั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการพูด 

3. เมื่อเธอพูดว่า “คุณไม่เคยสนใจฉันเลย” เขาตอบว่า “ผมสนใจคุณมาตลอด ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่าผมพยายามที่จะแก้ไขปัญหาอยู่” เหตุผลเพราะเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับปัญหา ซึ่งถ้าหาคำตอบได้ก็จะเป็นประโยชน์กับเธอด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม เธอต้องการความรักและเอาใจใส่จากเขาโดยตรง และนั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการบอกจริง ๆ 

4. เมื่อเธอพูดว่า “ฉันคิดว่า คุณไม่เคยเห็นความสำคัญของฉันเลย” เขาตอบว่า “บ้าที่สุด คุณเป็นคนสำคัญที่สุดเสมอ” เหตุผลที่เขาคิดว่าเธอเข้าใจผิดก็เพราะเขากำลังแก้ปัญหาให้เธอ เขาไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่า การที่เขาสนใจปัญหาใดปัญหาหนึ่งและลืมปัญหาอื่น ๆ นั้น สร้างความรำคาญให้คนรอบข้างมากขนาดไหน และผู้หญิงเกือบทุกคนมักเก็บไปคิด โดยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า 

5. เมื่อเธอพูดว่า “คุณไร้ความรู้สึก สนใจแต่เรื่องของตัวเอง” เขาตอบว่า “แล้วมันผิดตรงไหน? คุณคิดหรือว่าผมจะแก้ปัญหานี้ให้คุณ?” เหตุผลก็คือ เขารู้สึกว่าเธอกำลังกล่าวโทษและเรียกร้องจากเขามากเกินไป เนื่องจากเขากำลังทำเรื่องสำคัญเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เขารู้สึกเธอไม่ให้ความสำคัญ แต่เขาก็ไม่สนใจความรู้สึกของเธอเช่นกัน ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่า พฤติกรรมของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมาจากอบอุ่นเป็นดูห่างเหินได้รวดเร็วขนาดไหน ขณะที่อยู่ในถ้ำ ผู้ชายส่วนใหญ่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองจนไม่มีเวลาคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นต่อความเฉยเมยของเขาเลย ถ้าต้องการให้ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดี ผู้ชายและผู้หญิงต้องเขาใจซึ่งกันและกันมากขึ้นกว่านี้ เมื่อผู้ชายเริ่มไม่สนใจ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเก็บไปคิดมาก แต่ถ้าเธอรู้ว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับการแก้ปัญหาแล้ว จะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก 

เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ผู้หญิงต้องการพูดให้ใครสักคนฟัง ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้ชายต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เขาต้องเข้าใจว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะพูดถึงความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งและไม่มีใครสนใจได้ เหมือนกับเขาที่มีสิทธิ์ปลีกตัวไปอยู่ในถ้ำโดยไม่พูดอะไรเลย 

 เครดิค อ้างอิงจาก หนังสือ : Men are from Mars, Woman are from Venus : John Gray 

                                                                          TOP

Read More

สิงคโปร์ Singapore

Wednesday, August 15, 2012
2011 November

หลังจากว่างเว้นจากการเดินทางไปต่างประเทศพักใหญ่ ประจวบเหมาะกับกรุงเทพกำลังจะสำลักน้ำตาย และแล้วผมก็ได้รับคำชวนจากเพื่อนที่อายุมากกว่าคนนึง ให้ไปทำงานต่างประเทศกับพวกเขาอีกสามคนอีกรอบ ดินแดนที่หลายคนรู้จักในนามว่า “สิงคโปร์”

…หลังจากรอคำตอบจากการยื่นเรื่องส่งเอกสารขออนุญาติทำงาน ซึ่งเรียกว่า work permit แล้ว (ใช้เวลาหลายวัน) ผมก็ได้รับคำตอบว่า โอเค ผ่าน สาเหตุที่ต้องรอคำตอบเพราะทางประเทศสิงคโปร์ เค้าเข้มงวดเรื่องคนต่างชาติเข้าไปทำงานในบ้านเมืองเค้าค่อนข้างสูงครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบอนุณาติของผมด้วย เรียกว่า performomg artist work permit อยากรู้คำตอบลองไปแปลเอานะครับ…. แต่อยากบอกว่าขั้นตอนนั้นค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร อีกอย่างเอกสารที่ส่งกลับมานั้นก็เป็น application documents มีอายุ 15 วันคือหมายถึงต้องเอาไปยื่นเรื่องอีกครั้งนึงที่กรมแรงงานประเทศสิงคโปร์เรียกง่ายๆว่า เอกสารชั่วคราวครับ

11 พฤศจิกายน 2011 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
 วันออกเดินทางครับมีการผิดพลาดเรื่องค่าระวางน้ำหนัก เห้อ….ผมอุตส่าห์เตือนแล้วเตือนอีกบอกให้ซื้อน้ำหนักเพิ่มมาด้วย จะไหวยังงัยละครับของผมคนเดียวก็ปาเข้าไป มากกว่า 40 กิโลกรัมแล้ว แต่ดันให้มาแค่ 15 กิกรัม (ให้มาทำแป๊ะไรเนี่ย..) หลังจากเจรจากับเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน (ground staff) ของสายการบิน Tiger Air ได้ความว่าต้องจ่ายเพิ่มกิโลกรัมละ 500 บาทครับ (งานงอกซะแล้ว…) ทำงัยดี…. หลังจากตกลงกันพักใหญ่พร้อมกับความใจดีของเหล่า ground staff (ขอปรบมือให้ดังๆๆๆ ) พวกผมจึงต้องแบ่งของถือขึ้นเครื่องครับอีรุงตุงนังเลยแหละ พร้อมกับจ่ายค่าน้ำหนักเพิ่มจากทั้งหมด 28000 บาท เหลือ 15500 บาทจากน้ำหนักสัมภาระทั้งหมด 4 คน ถึงแม้จะโชคดี แต่ก็หิ้วของขึ้นเครื่องเหงื่อแตกโฮกๆ ครับแถม gate ที่ผมขึ้นก็ไกลโครตเลย…เซ็งง

 …สองชั่งโมงบนเครื่องผ่านไป เท้าสองข้างก็ได้สัมผัสสนามบิน ชางจี (chang gi) ประเทศสิงคโปร์ เดินลิ่วๆเข้าไปผ่าน ด่านตรวจคนเข้าเมืองพร้อมเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสามคน แล้วเสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ ตรวจคนเข้าเมืองสิงคโปร์ เรียกพร้อมเดินเข้ามาหาผม แล้วสอบถามว่าผมถืออะไรเข้ามาด้วย ผมก็ตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษว่าเป็นอุปกรณ์การทำงาน เขาเลยเชิญผมเข้าไปในห้อง (งานงอก อีกรอบแล้ว) เค้าให้รอ สแกนลายนิ้วมือครับ ในขณะที่เพื่อนผมเดินผ่านด่าน ตรวจเข้าไปรอด้านในเล้วเรียบร้อย สิบนาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก ทางเจ้าหน้าที่บอกกับเพื่อนของเขาอีกคนว่าผมโอเคแล้ว แล้วให้กลับไปเข้าแถวรอเช็คพาสปอร์ตพร้อมยื่นเอกสารที่เตรียมมา…หลังจากนั้นผมก็ผ่านด่านตรวจของสิงคโปร์ แล้วขึ้นรถที่ทางผู้ประกอบการจัดหาไว้เดินทางไปสู่ที่พัก

…วันแรกที่เข้าที่พัก แหมคิดว่าจะไม่มีอะไร ….ชั่วครู่หลังจากยืนงงกับที่พักพร้อมกับคิดว่าที่เนี่ยนะ ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนใช้มือโอบเอวของผม แต่ทว่าจริงๆแล้วมันไม่มีใครครับ ผมหันรีหันขวางมองรอบๆตัว ก็ไม่มีอะไรเลย….นึกในใจ….เอาน่า…คงไม่มีอะไรหรอก แต่ผมกวาดสายตามองรอบๆ มีตู้เสื้อผ้าหลายตู้แต่ว่าหลังตู้เนี่ยสิ มีศาลเพียงตาอยู่ด้านบนพร้อมเครื่องเส้นไม่ว่าจะเป็น ลิปสติก ตลับแป้งแต่งหน้า ธูปเทียน โอ้ววว จัดเต็ม.. แถมข้างๆตู้ยังมีชุดจีนกี่เพ้าห้อยไว้อีกด้วย แล้วมันของใครล่ะ???

อาคารเก่าอยู่ชั้นสามคล้ายๆคอนโดห้องสวีทมีสี่ห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องอาบน้ำ หนึ่งห้องครัวและห้องโถง (Living room) มีท่อทิ้งขยะใกล้ๆห้องครัว เคยได้ยินมาว่า ถ้าเป็นศาลเจ้าเขาจะเอาไว้ที่พื้นแล้วมีรูปตาแป๊ะแก่ๆ อยู่ข้างใน แต่ศาลเพียงตาที่ผมเห็นไม่มีอะไรด้านในเลยแต่ใครไม่รู้นำไปวางไว้หลังตู้ สภาพก็คงจะนานพอสมควร สังเกตุได้จากฝุ่นที่เกาะอยู่
หลังจากเลิกงานกลับมานอน มีอยู่คืนหนึ่ง ผมครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมเห็นผู้หญิงผิวขาวหน้าตาคล้ายคนจีน ผมยาว รูปร่างค่อนข้างสูงนอนกอดผมแล้วเธอก็เงยหน้ามองผมแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก เธอกึ่งเปลือยครับ ทว่าทันใดนั้น เหอะๆ กำลังเคลิ้มผมก็สะดุ้งตื่นซะก่อน ก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกนะ คงฝันไปน่ะ

หลายวันผ่านไปกับการเริ่มงาน ทั้งเพลียและปรับตัว ไปตรวจร่างกาย ไปยื่นเอกสารที่กรมแรงงานสิงคโปร์ (ไปหลายครั้งมาก) จนกระทั่งถึงเวลาพิมพ์ลายนิ้วมือ(thumbprint) เพื่อรอรับ work permit card (เป็นการ์ดแข็งสีเขียวอ่อนคล้ายบัตร ATM)
วันหนึ่งกำลังจะอาบน้ำไปทำงาน ขณะที่อยู่ในห้องน้ำรู้สึกว่ามีปอยผม เขี่ยที่หลังผม เห้อ…คิดในใจว่า…อีกแล้วหรือเนี่ย ผมหันกลับไปโดยเร็ว….ไม่มีอะไรเช่นเดิม ผ่านไปหลายวัน ก่อนผมไปรับการ์ด เจ้ากรรม…ผมทำพาสปอร์ตหาย ตายล่ะ…เพื่อนที่โน่นพาไปช่วยหาหลายที่เพราะก่อนหน้านั้นเค้าพาผมไปเที่ยว ตามหาหลายๆที่ไม่ยักกะเจอครับ
จนวันสุดท้ายก่อนไปกงศุลตามที่ผู้จัดการบอก ผมเลยไปกับเพื่อนไปที่สุดท้ายที่นึกได้ ก่อนไปเพื่อนคนไทยบอกว่า ลองไปไหว้ขอที่ศาลเพียงตาบนหลังตู้สิ ไม่แน่อาจจะเจอ ช่วยไม่ได้ครับ ความหลังสุดท้าย …ผมเลยทำตามที่เพื่อนคนไทยที่ทำงานด้วยกันบอก หลังจากนั้นก็ออกไปกับเพื่อนที่โน่นมุ่งหน้าตามล่าพาสปอร์ต ที่ร้านอาหารไทยที่นึงซึ่งเราไปกินข้าววันนั้นหลังจากที่ไปเที่ยวผับกันก่อนรู้ว่าพาสปอร์ตหาย
 …ไม่อยากจะเชื่อเลย เจอครับ…โชคดีเป็นบ้าเลยไม่งั้นคงซวยแน่ๆ พนักงานเขาเก็บไว้ให้ เค้าว่ามันหล่นอยู่ เค้ากะว่าเดี๋ยวเจ้าของ (ผมเอง)คงมาตามคืน ผมกลับมาซื้อเครื่องเส้นไปวางไว้ที่ศาลนั่นเลยแหละ คงต้องแบบนี้แล้วล่ะ อยากจะบอกว่าที่เจอๆกันน่ะไม่ใช่ผมคนเดียวนะครับ โดนกันถ้วนหน้าเลย แล้วแต่ใครเจอแบบไหน บ้างก็เห็นมายืนปลายเตียง บ้างก็มาร้องเพลงให้ฟังข้างๆหู บ้างก็โดนดึงแข้งดึงขา ไม่เว้นแม้แต่กลางวี่กลางวัน จนชินเหมือนเรื่องปกติ คนนี้โดนที คนนั้นโดนที หลากหลายมากเล่าไม่หมด ส่วนรอบหลังผมนั้งเล่นอยู่กับเพื่อนๆ ตอนเที่ยงๆ กลางห้องโถง บางคนก็ทานอาหารอยู่ ขอโทษ…ประตูห้องนอนห้องนึงซึ่งปิดอยู่แบะมีเพื่อนนอนหลับอยู่ด้านใน ค่อยๆเปิดออกเอง ทั้งที่มันล็อคอยู่ เพื่อนที่นั่งทานอาหารอยู่ถึงกลับตาค้างเลย เพื่อนคนนึงเดินไปปิดหลังจากนั้นราวครึ่งชั่งโมง พวกเรากำลังนั่งวิพากวิจารณ์อยู่ เสียงประตูห้องเดิมเปิดออกอีกครั้ง โอ้ววว …หัวใจจะวาย แต่ครั้งนี้กลับเป็นเพื่อนผมเดินเมาขี้ตาออกมา ถามผมว่า เมื่อกี้ใครเรียก… ผมบอกไม่มีใครเรียก…แต่เค้าบอกว่า เมื่อกี้มีคนเรียกให้ออกมาทานอาหารด้วยกัน….!!!
ด้วยความสงสัยเลยพยายามเสาะหาข้อมูลว่าเหตุการณ์เหล่านี้มาจากอะไรกันแน่ และแล้วก็ได้ความว่า เธอเป็นผู้หญิงจีนเป็นนักร้องมาร้องเพลงที่นี่แล้วก็เสียชีวิตที่พักแห่งนี้นานมาแล้ว

ท้ายสุดผมโดนอีกรอบ วันนั้นผมออกจากที่พักคนสุดท้าย ซึ่งก็แน่นอนผมต้องเป็นคนล็อคประตู ผมสังเกตุว่าทุกห้องปิดประตูเรียบร้อยเลยเดินหันหลังออกแล้วเอื้ยมมือไปปิดสวิทช์ไฟซื่งอยู่ใกล้ไประตูทางออก ทันใดนั้น...เสียงปืดประตูดัง ...โครม..จากด้านในดังอีกครั้ง ทั้งที่ไม่มีใครอยู่เพราะผมเป็นคนท้ายสุด มือผมที่จับลูกบิดซึ่งกำลังจะปิดประตูใหญ่ด้านหน้า ผมดันให้มันเปิดอีกรอบพร้อมยื่นศรีษะเข้าไปชำเรืองดู แต่ทว่าสิ่งที่เห็นคือประตูทุกห้องยังปิดสนิท...อึ๋ยยย..ผมรีบปิดเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วดึงลูกบิดจะปิดประตูใหญ่ ขณะนั้นรู้สึกได้ว่ามีแรงผล้กจากด้านในผลักประตูให้ปิดโดยที่มือผมบังไม่ได้ออกแรงดึง ทั้งๆที่ฝนก็ไม่ตกแล้วก็ไม่มีลมพัดซักแอะ

หลังจากผมเลิกงานกลับมาผมพยายามเช็คประตูทุกบานว่ามันปิดแล้วจะเสียงดังไหม แต่ว่ามันไม่ดังน่ะมันไม่ดังขนาดเท่าที่ได้ยิน แถมประตูใหญ่ก็ไม่มีแรงดันมากขนาดที่ผมรู้สึกเหมือนตอนก่อนออกไป
ก็เป็นอันว่า...ละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วกันครับ

… หลังจากนั้นผมก็ไปรับ work permit card ใช้ถือแทน passport ใช้ส่งเงิน ใช้ซื้อ sim card โทรศัพท์ ใช้ซื้อบัตรเติมเงิน ซื้อบัตร MRT( ใช้ได้ทั้งรถเมลและแท็กซี่ในบัตรเดียว) คือใช้แสดงให้พนักงานดูน่ะครับแล้วเขาจะสแกนโค๊ดน่ะเพราะเราเป็นต่างชาติ เราหันมาดูส่วนอื่นของสิงคโปร์กันบ้าง สิงคโปร์ เป็นประเทศที่น่าอยู่ แต่ค่าครองชีพแพงไปหน่อย ใช้เงินดอลล่าห์สิงคโปร์ (SGD) อัตราแลกเปลื่ยน 1 ดอลล่าห์ ประมาณ 24 บาทแล้วแต่ค่าเงินที่ขึ้นลง สะอาดใช้ได้เลย ถนนไม่มีฝุ่น แต่ที่ๆไม่สะอาดก็มีนะ หนูวิ่งกันให้คลั่กตัวเกือบเท่าแขนแน่ะ ภาษาที่ใช้ คือ ภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีนกลาง ฮกเกี้ยน มาลายู
เป็นระเบียบมากข้ามถนนต้องกดสัณญาณไฟให้รถหยุด ไม่งั้นโดนจับเสียค่าปรับ 300 SGD (ลองคำนวนเอานะครับ) ที้งขยะลงพื้นปรับ 300 SGD,สูบบุหรี่ไม่เสียภาษี(คือทุกซองและทุกมวนจะมีตัวหนังสือบางๆติดอยู่แสดงถึงการเสียภาษีแล้ว)ปรับมวนละ 300 SGD,ต้องคดียาเสพติดและก่อเหตุกระทำชำเลาผู้หญิง โทษสถานเดียว คือ ประหารชีวิต (โหดโฮกๆ..แต่ก็ดีนะข้อนี้)
หลบหนี work permit คือได้การ์ดแล้วหนีหายหรือหนีไปทำงานที่อื่น ทั้งจำและปรับ 2000 SGD,ไม่มีใบอนุญาติทำงาน(ใบอนุญาติมีหลายประเภทครับขอบอก) จับส่งกลับประเทศภูมิลำเนาแถมติด backlist ห้ามเข้าประเทศสองปีเท่าที่จำได้
เดินทางสะดวกรถเมลเยอะหยอดเหรียญครับ ติดแอร์ทุกคัน แท็กซี่น้อยไม่เหมือนเมืองไทย มีรถไฟฟ้า MRT สถาปัตยกรรมตามอาคารเป็นแบบโมเดิลมาก อาคารรูปทรงเลขาขณิต แปลกๆก็แยะ มีคาสิโน ที่อ่าว มารีน่าเบย์ แน่นอนสิ่งที่ไม่ควรพลาดที่ปากแม่น้ำสิงคโปร์ กับรูปปั้นรูปสิงโตที่มีหางเหมือนปลา (Merlion) และรวมไปถึง universal studio singapore เจ๋งสุดๆในเอเชียค่าเข้าคนละ 1700 บาท แล้วก็ชิงช้ายักษ์ singapore flyer ค่าขึ้นคนละ 700 บาทต่อคนขึ้นได้ 25 คนต่อหนึ่งกระเช้า แถมติดแอร์ด้วยครับ ดูวิวรอบสวยมายกเว้นทะเล ที่เต็มไปด้วยเรือส่งสินค้า แหล่งช้อปปิ้ง simlim,mustafa ถูกและเยอะมากโดยเฉพาะช้อกโกแลต และสุดท้ายสนามฟุตบอลลอยน้ำ ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่ร้อยละ 90% ใช้มือถือ iphone
หลายคนอาจอยากรู้ว่า ลอดช่อง สิงคโปร์ มีจริงไหม ขอตอบว่ามีครับ แต่มันจะสีเขียวและสั้นๆเป็นตัวๆไม่นิ่มมากนักกินกับเม็ดบัวและน้ำกะทิ อีกอย่างนึงที่ขึ้นชื่อคือ ลักซ่า(Laksa)คล้ายขนมจีนบ้านเราแต่รสชาติไม่เหมือนะเส้นก็ไม่เหมือนคล้ายๆ ราเม็งน่ะ

ร่ายมาเยอะแระ.. น่าเสียดายผมไปอยู่แค่สามเดือนครึ่งจากกำหนดสัญญาหกเดือน ก็ต้องกลับเพราะสถานประกอบการจะปิดปรับปรุง เลยต้องขอ cancel work permit กลับไทยก่อนแถมต้องพักอีกหนึ่งปีจึงจะยื่นเอกสารเข้าได้ใหม่ตามกฏหมายใหม่ของ MOM singapore.(แต่ได้ยินมาว่าจะเปลื่ยนกฏหมายข้อนี้ใหม่อีกรอบเร็วๆนี้)
...เจอกันใหม่ครั้งหน้าครับ เดี๋ยวจะกลับมาเล่าให้ฟัง กับเรื่องราวใน มาเลเซีย

TOP

Read More

Recent Comments-

Recent Posts-

free counters
Code Calendar
: Users Online

Followers







 

Browse