**เรื่องจากประสพการณ์ของเจ้าของบล็อคนี้,มุมมอง,บทความที่ชอบ,นิยาม,ปรัชญาซึ่งนำมาเพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ตัวเอง**


บางบทความมีลิขสิทธิ๋


























ปริศนาลับกับ..ห้องสีฟ้า

Sunday, February 28, 2010
คอนโดย่านลาดพร้าว ปี 2005
ญาติผมจะมาจากต่างประเทศ เลยวางตารางล่วงหน้าไว้ว่าจะอยู่หลายเดือนถึงจะกลับ เลยต้องหาที่พักให้ท่านและผมเองก็ต้องไปอยู่ด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกให้ท่าน คอยขับรถขับราให้ คอยเป็นธุระให้ว่างั้น อีกอย่างท่านไม่ใช่คนไทย พูดไทยไม่ได้ เมืองไทยก็มานับครั้งได้
ก็คิดว่าอยากได้แบบเน้นความสะดวกสบายหน่อย เพราะเป็นญาติผู้ใหญ่ ผมเที่ยวเสาะหาอยู่หลายวัน สุดท้ายไปเจอคอนโดอยู่ที่นึง ดูเป็นสัดเป็นส่วนแถวย่านลาดพร้าว ลักษณะเป็นอาคาร วางสี่ด้านเป็นรูปสี่เหลี่ยม ตรงกลางเป็นสระน้ำ
มี ฟิตเนสอำนวยความสะดวก พร้อมสระน้ำที่ให้บริการแก่ผู้อาศัย สะอาดพอสมควรแต่ก็สร้างมานานแล้ว
ผมเข้าไปขอติดต่อ ดูห้องที่สำนักงานนิติบุคล หลังจากสอบถามและบอกกล่าวแก่ เสมียนผู้ดูแล แล้ว ก็มีฝ่ายขายพาไป ที่เป็นฝ่ายขายนั้นเพราะส่วนหนึ่งของอาคารถูกบริษัทชาวต่างชาติ เทคอ๊อฟ ไปสองอาคารแล้วปล่อยขายเป็นห้องๆและให้เช่าด้วยแถมที่นี่ก็มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่หลายครอบครัวอีกด้วย
ที่นี่สรุปแล้วมี นิติบุคคลสองชุด ด้วยกัน

คุณพนักงานก็นำผมไปที่อาคาร เพื่อเข้าชมห้องพัก ดูกันหลายห้อง ก็ยังไม่ตกลงใจว่าจะเอาห้องไหนดี
แล้วคุณพนักงานก็บอกผมว่า มีอีกสองห้องที่ว่างอยู่ที่ชั้นแปด แต่ราคาสูงหน่อย เพราะส่วนใหญ่ชั้นแปด เป็นห้องสวีท
เธอนำขึ้นลิฟท์ พอลิฟท์เปิดถึงที่ชั้นแปดซึ่งที่นี่มีทั้งหมดแปดชั้น ก็เดินมาทางขวามือจะเห็นห้องที่สอง นับจากหน้าลิฟท์ ห้องนี้มีประตูที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ทาสีฟ้าอ่อนๆ ลูกบิดใหม่ เท่าที่สังเกตเห็นด้านนอก ผมมองไปรอบๆขณะที่ยังไม่ได้เปิดประตูเข้าไปด้านใน ดูแล้วห้องนี้ไม่เหมือนห้องอื่น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
พอพนักงานเปิดประตูแล้วเข้าไปด้านใน ดูสะอาดมาก เพราะด้านในตกแต่งใหม่หมด และ ทาสีฟ้าอ่อนๆ รวมไปถึงม่านบังแดดก็สีฟ้า ด้านในมีอีกหนึ่งห้องและมีห้องน้ำอยู่ด้านใน พนักงานบอกผมว่าเพื่ง บิ้วท์ใหม่ ห้องนี้ ราคาก็ แปดพันต่อเดือน
สักพักเราก็ออกไปด้านนอกพื่อไปดูห้องสุดท้ายกัน
ห้องสุดท้ายเดินถัดมาจากห้องเมื่อกี๊อีกสองห้อง เป็นห้องสวีทเหมือนกัน ห้องนอนด้านในพร้อมห้องน้ำในตัว แต่ยังไม่ได้ทำความสะอาดอะไรเลย พื้นก็เลาะกระเบื้องออกไป แต่เป็นห้องมุม มีเทอเรส และเนื้อที่กว้างกว่า พนักงานบอกว่ายังไม่บิ๊วท์ เพราะช่างไม่ว่าง เจ้าของเดิมเพิ่งย้ายไปไม่นาน แต่ถ้าเอาห้องนี้จะเร่งช่างทำให้เสร็จภานในหนึ่งสัปดาห์ ราคาก็แปดพันเท่ากัน
ผมชักลังเล เพราะห้องแรกเสร็จแล้วด้วย แต่ถ้าห้องนี้ต้องรอ และกลัวไม่ทันเพราะกว่าจะย้ายเข้ามาและกว่าจะเซ็ทอัพให้เข้าที่เข้าทางอีกคงเหนื่อยอีกหลายวัน
ผมบอกพนักงานว่า จะเอาห้องแรก ก็ ห้องสีฟ้านั่นแหละครับ
แต่พนักงานกลับ ถามผมกลับว่า “จะเอาห้องนั้น จริงๆหรือคะ”
ผมก็ถามต่อ ..อ้าว …..ทำไมล่ะ !
พนักงานเธอตอบ เอ่อ ……… ปล่าวค่ะไม่มีอะไร
มันเหมือนอะไรสักอย่างกระตุ้นให้ผมคิดวนอีกรอบ แล้วผมก็บอกเธอว่า อึมมมมม…….!!!
เอาอย่างนี้แล้วกัน……ผมเปลี่ยนใจเอาห้องมุมห้องนี้ดีกว่า แล้วรีบจัดการให้ผมให้เรียบร้อยด้วยนะ อยากได้เทอเรสเผื่อได้นั่งดูดาวด้วย คงจะดี
เธอตอบ… ค่ะ….. แล้วเราก็ลงจากอาคารไปทำสัญญาเช่ากัน
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมย้ายเข้าที่คอนโด แต่ทว่า…. ญาติผมป่วย โทรมาบอกว่า เลื่อนการเดินทางมาไทยไปก่อนและยังไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร ผมเลยต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนตามระเบียบ
ก็ดีครับ ไม่มีอะไรจนกระทั่ง ช่วงปีใหม่
ทางนิติบอกว่าจะทำบุญปีใหม่และเชิญทุกคนรวมผมด้วย ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
จนวันงาน…..ผมแต่งตัวจะไปข้างนอกเปิดประตูออกมาได้ยินเสียงพระสวด ผมแปลกใจครับ พระมาสวดอะไรแถวนี้ล่ะ
พอมองไปทางหน้าลิฟท์ เห็นมีคนกำลังนั่งฟังพระสวดอยู่หน้าห้องสีฟ้านั่น
อ้าว……. และพระมาสวดอะไรที่ห้องนั้น และดูเหมือนการทำบุญเลี้ยงพระอะไรสักอย่างที่ห้องนั้น
พอผมเดินผ่านหน้าห้อง พวกที่นั่งอยู่ก็ชวนผมอยู่ทำบุญครั้งนี้ด้วย มองเห็นพระหลายรูปครับกำลังสวดอยู่เลย
ก็ไม่อยากเสียมารยาทเลยเข้าร่วมพิธีด้วย และพระก็สวดเสร็จ เหล่าผู้คนที่อยู่ในห้องก็เตรียมถวายภัตราหารเพลแด่ภิกษุสงฆ์ แล้วก็มีเสียงดัง.....โครม!!!!!!!!!!!!!

โต๊ะไม้ที่ใช้วางกับข้าวที่จะถวายพระครับ ขามันหัก เลยทำให้อาหารที่วางข้างบนเทหกเกือบหมด
แล้วก็มีเสียงใครบางคนไม่ทราบพูดขึ้นลอยๆว่า “จะทำบุญไปให้ทำไมทำแบบนี้ มันไม่ดีนะ “
แถมคนพูดเอ่ยชื่อถึงใครก็ไม่รู้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าพูดถึงใคร แล้วใครอีกคนก็บอกว่า “จุดธูปบอกดีกว่าๆ”
หลังจากนั้นทำกิจพิธีจนเสร็จแล้วก็ปิดห้องไว้ตามเดิม ผมก็ออกไปทำธุระข้างนอก
อีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมา…..
ราวๆบ่ายสามโมงครึ่ง .........เสียงตะโกน โหวกเหวกโวยวาย ร้องห่มร้องไห้ ของพี่ผู้หญิงร้านซักรีดที่อยู่ชั้นแปด ชั้นเดียวกับผม แต่ห้องแกอยู่อีกฝั่งของลิฟท์ ดังจนทำให้ผมต้องเปิดประตูออกมาดู แกเห็นผมแล้วเดินขี้มูกโป่งมาหา ตาแดงๆ
แล้วถามผมว่า “เห็นลูกชายพี่มาเล่นแถวนี้บ้างไหม แกเดินตามหานานแล้วยังไม่เจอเลย” ผมตอบว่า “ไม่เห็นครับ”
ลูกชายพี่แกอายุสิบขวบ เลิกเรียนและกลับมาจากโรงเรียนแล้ว
แล้วแกว่าเดี๋ยวไปถาม รปภ. ข้างล่างก่อน แล้วแกก็ไป สักพักได้ยินเสียงพี่ผู้หญิงคนเดิมอยู่หน้าห้องกับ รปภ. แต่พี่แกทุบประตูห้องสีฟ้า มีเสียงพูดกลับไปด้านใน ว่า “ลูกทำใจดีๆนะ ไม่ต้องกลัว” “ลูกเข้าไปได้งัย” แล้วตะโกนบอก รปภ . ให้วอเรียกคนให้เอากุญแจที่ส่วนกลางมาไขประตู สักพัก รปภ. อีกคนมาพร้อมกุญแจ ก็พยายามไข แต่ก็ไขไม่ออก ทั้งๆที่ลูกบิดก็เพิ่งเปลี่ยน แล้ว รปภ.ก็ตกลง วอไปตามช่างเอาคีมถ่างประตูแทน ครู่นึง ช่างก็มาแล้วใช้คีมถ่างวงกบประตูแล้วบิดกุญแจไปพร้อมกันกับเปิดประตู ก็เจอลูกของพี่ร้านซักรีด ที่อายุประมาณสิบขวบ อยู่ด้านใน เด็กร้องไห้ออกมาไม่พูดอะไร ถามอะไรก็ไม่ตอบ
ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ผมอยากรู้จึงควานหาคำตอบ และได้จากคนที่อยู่ที่นั่น เล่าให้ฟังว่า……………..
ก่อนหน้านี้ที่ห้องนั้นยังไม่บิ๊วท์ใหม่ มีผู้หญิงคนนึงอยู่ เธอทำงานกลางคืนไม่ทราบอาชีพอะไร ถูกฆาตรกรรม ด้วยการราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาในขณะที่เธอกินยานอนหลับ เธอโดนไฟคลอกตายในห้องนั้น และเป็นข่าวดังลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง

มูลนิธิกู้ภัยเข้ามาเคลียพื้นที่และขนย้ายศพลงทางลิฟท็เนื่องจากไม่สามารถใช้รอกขนย้ายลงด้านข้างของตัวอาคารได้และสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนสีประตูก็เพราะ ความเชื่อที่ว่า เพื่อกันวิญญาณของคนที่เคยอยู่ จะจำได้
โอ้ววว……. พระเจ้า โชคดีที่ผมไม่เช่าห้องสีฟ้านั่น !!!!!
ระยะเวลาทั้งหมดที่เช่าที่นั่นไว้ก็ประมาณหนึ่งปี และหลังจากที่ผมย้ายออกมา …….
ทุกวันนี้คอนโดดังกล่าว(เฉพาะส่วนที่ถูกเทคอ๊อฟ) ถูกบริษัทต่างชาติเจ้าของกรรมสิทธิ์ รื้อบางส่วนออกและซ่อมแซมใหม่ แล้วบิ๊วท์ภายในอย่างสวยงามดูแล้วเหมือนห้องในโรงแรมเลย ซึ่งรวมไปถึงห้อง…..สีฟ้า …ชั้นแปดนั่น แถมประกาศขายและปล่อยเช่าในราคาสูงกว่าเดิมอีก !!!

คุณสงสัยมั้ยว่า....เด็กสิบขวบคนนั้น เข้าไปอยู่ในห้องสีฟ้านั่นได้อย่างไร?ทั้งๆที่ห้องมันล๊อค แล้วกุญแจก็เก็บไว้ที่ นิติบุคคลส่วนกลาง…!!!!
คุณสงสัยมั้ยว่า......ทำไมกุญแจใช้ลูกบิด ไขไม่ออก ทั้งๆที่ เพิ่งเปลี่ยนใหม่?จนถึงขนาดต้องใช้คีมถ่างประตู......!!!!
คุณสงสัยมั้ยว่า.....ตอนทำบุญในห้องนั้น โต๊ะไม้ที่ใช้วางภัตราหารสำหรับถวายพระ ขาหักได้อย่างไร?
ทั้งๆที่ ขามันแข็งแรง แถมเป็นโต๊ะไม้ทรงเตี้ยที่ไม่ใช่ไม้อัด……!!!


คำถามเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา แก่ผม และหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น



TOP

Read More

แอบลุ้นกับ Jenny สาวเกาหลี

เหตุเกิดที่ ดิสโก้เธค แห่งหนึ่ง( ขอบอกเลยว่าไม่ใช่ใน กทม. หรือ พัทยา ) ที่คนไทยทุกคนก่อนเข้าจะต้องซื้อตั๋วราคา 200บาท สำหรับต่างชาติก็ราคาเดียวกันเพื่อแลกกับเครื่องดืมหนึ่งอย่าง อาจเป็น วิสกี้โซดาแก้วนึง หรือ เบียร์ขวดเล็ก ส่วนผมไปกับเพื่อนสองคนผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ หลังจากซื้อบัตรแล้วแลกเครื่องดื่มแล้ว ก็เข้าไปด้านใน เสียงเพลงดังกึกก้องจากบู้ทดีเจกำลังเปิดเพลง
ทุกคนในนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ คนไทยมีน้อยมาก กำลังโยกย้ายส่ายสะโพกกันมันส์สุดกู่ คนก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่า ฮ่องกง สิงค์โปร์ มาเล ญี่ปุน เกาหลี ฝรั่ง ชาติไหนต่อชาติไหน ยั้วเยี้ย ไปหมด

ทันใดนั้นเอง เหลือบไปเห็นสองสาว กำลังขึ้นไปเต้น บนลำโพงที่วางอยู่เป็นระยะๆแล้วแต่ใครชอบที่จะทำแบบนั้น
ลีลาของพวกเธอมันช่างยั่วยวนสายตาของบรรดาพวกผู้ชายในดิสโก้เธคแห่งนี้ อย่างมาก รวมทั้งผมกับเพื่อนด้วยทั้งคู่
พวกเธอทั้งสอง เต้นได้อย่างเล้าใจมากๆ ดูแล้วนึกถึง กลุ่มนักร้องเกาหลี วง เบบี้วอกซ์ เลย ท่าเต้นช่างคล้ายกันมาก
บิดซ้าย บิดขวา โอ้ววว มันเล้าใจอย่างบอกไม่ถูก แถมหน้าตาทั้งคู่ดูเซ็กซี่ไม่แพ้กัน
เพื่อนสะกิดผม แล้วกระซิบว่า สองสาวนั่นน่ะ เป็นคนเกาหลี ชอบมาเที่ยวที่นี่บ่อยๆ เพราะมันเคยเห็น พวกเธอ
สักพักเธอก็ออกไปจากที่นี่ ผมรู้สึกเสียดาย แหมไม่แน่อาจได้ท่องราคี… เอ๊ย …ราตรีกับเจ้าหล่อนก็เป็นได้
เพื่อนผมสิ บอกผมว่าอยากตามไปดูมั้ย ผมก็งงๆ แล้วจะไปดูที่ไหนอ่ะ ผมถามเพื่อน
มันว่า ไปกันเถอะเดี๋ยวจะพาไป แล้วเราสองหนุ่ม ก็ขับรถไปอีกสถานที่ๆนึง
ด้านนอกดูคึกคักมาก แต่ไม่มีแสงสีดึงดูดคนนัก ด้านในก็โล่งๆเหมือน ปาร์ค มองดูดาวได้เลยมีทางเดินบางส่วนและโต๊ะนั่งเรียงตามทางเดินไป ตรงกลางมีบ่อน้ำ และด้านข้างก็เป็นบู๊ทดีเจ ที่กำลังเปิดเพลง ฮิปฮอบ อยู่ คนเยอะมาก ต่างชาติทั้งนั้น
มีคนไทยประปราย ผู้หญิงไทยทีบ้างส่วนใหญ่จะมาหาตังค์ ประเภทขาวๆไม่ค่อยมีอ่ะ
มองไปเห็นยืนโยกตามจังหวะกันเป็นคู่ๆ บางคู่ก็มีเลิฟซีน แลกลมหายใจกัน(จูบปากน่ะ)ตรงนั้นแหละ
ผมคิดในใจ อึมมม …นี่เรายังอยู่ต่างประเทศใช่มั้ยเนี่ย?
กำลังนึกอะไรไปเรี่อยเพื่อนก็สั่งเครื่องดื่มมาให้ พากันซดเบียร์กันคนละขวดก็ขวดละ 100 บาท ที่นี่ส่วนใหญ่จะดื่มเบียร์กันเพราะมีแค่โต๊ะเล็กๆ พอวางเบียร์ได้ เก้าอี้ก็หายาก เพราะคนเยอะมาก
และหันไปเห็น สองสาวเกาหลี ที่เมื่อกี๊ ยังโชว์ลีลา อยู่ในดิสโก้เธคมาหมาดๆ เดินเข้าบรรดาหนุ่มต่างชาติที่เห็นพวกเธอต่างพยายาม เซย์ เฮลโหล กันใหญ่ แต่พวกเธอก็ดูเฉยๆ ไม่ตอบอะไร ดูหยิ่งๆ พวกเธอสั่งเครื่องดื่ม และเริ่มเดินเครื่องด้วยการโยกตามจังหวะเพลง หนึ่งในสองคนนั้นชื่อ เจนนี่ (ไม่รู้ว่าชื่อเกาหลีเธอชื่ออะไร)ได้ความจากฝรั่งที่ยืนเต้นข้างๆผม แล้วเจนนี่ ก็เริ่มโยกจากท่า ชิลล์ๆเริ่มออกจะเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ เธอตกเป็นเป้าสายตาหนุ่มๆแถวนี้รสมทั้งผมด้วย แล้วเธอก็เริ่มเพิ่มดีกรีแห่งความเร่าร้อนของเธอด้วยการดึงชายเสื้อขึ้นแล้วขมวดปมไว้เผยให้เห็นหน้าท้องที่ไร้ไขมัน ส่ายๆตามจังหวะเพลงฮิปอย่างสุดสยิว
เต้นไปพร้อมกับแสดงสีหน้าเซ็กซี่พร้อมเผยอริมฝีปาก มันเรียกอารมณ์ใครหลายๆคนได้มากเลยที่เดียว
ผมเห็นหนุ่มอเมริกันเข้าไปเต้นขนาบเธอ ดูแล้วเหมือนได้ดูโชว์เลย สักพักมีหนุ่ม บีบอย เข้าไปบ้างโชว์เสต็ปล่าง
บางครั้งก็จับคู่เต้นกัน มันก็สนุกอีกแบบ ผลัดกันโชว์คนโน้นที คนนี้ที ทั้งๆที่ไม่มีฟลอ
จากนั้นผมพยายามเข้าประชิดหวังพูดคุยก็ทำได้เพียง สปีคอิงลิช ไปไม่กี่ประโยค ดูเธอหยิ่งๆจริงๆ
สักพักเธอก็กลับ ผมบออกเพื่อนตามเธอไปดีกว่า เพื่อนว่า…..เอาจิงดิ….
แล้วก็ขับรถตามเธอออกไป เธอขับเร็วมาก
จนหายวับไปข้างหน้า เห้อออออ…. ผมตามไม่ทัน มองไปรอบข้าง…… เอ๊ะ…….. นี่เราขับมาถึงไหนแล้วเนี่ย
มันดูคล้ายกับทางเข้าหมู่บ้าน ก็เลยเลี้ยวเข้าไป และก็จอดข้างทางเปิดไฟหรี่ไว้ เพื่อนผมบอกว่า งั้นขอกลับก่อนดีกว่า แล้วมันก็โทรให้เพื่อนอีกคนขับรถมารับ บอกว่าจะไปดื่มต่อที่อื่น “วันนี้คงแห้วแล้วหล่ะ”มันพูด แล้วก็จากไป พร้อมทิ้งผมนั่ง เซ็งในรถคนเดียว
ผมกำลังจะเคลื่อนรถหวังจะเลี้ยวรถกลับช้าๆ ก็มองกระจกหลังเห็นมีรถเข้ามาพร้อมเปิดไฟสูง แล้ว สตัฟฟ์ไฟใส่ผมจากด้านหลัง ผมก็คิดว่าใครอ่ะ ….ทำแบบนี้ทำไม
แล้วรถคันดังกล่าวก็ขับมาช้าๆจอกด้านข้างแป็ปนึง แล้วก็ขับเข้าไปในหมู่บ้านอย่างช้าๆ รถผ่านหน้ารถผมไป มองเห็นทะเบียนรถและรุ่นกับสีรถก็จำได้ว่าเป็นรถที่เจนนี่ สาวเกาหลี ที่ผมขับตามมา
ผมก็ตามเข้าไปในหมู่บ้านเธอเลี่ยวซ้ายแล้วนำไปจอดใต้ต้นไม้และเป็ฯซอยตันผมจอดต่อท้ายเธอๆธฮดับไฟหน้าผมก็ดับตามแต่ไม่ได้ดับเครื่องยนต์กันทั้งคู่ ผมมองจากด้านหลังเห็นเธอแค่คนเดียว
แสดงว่าเธอต้องไปส่งเพื่อนเธออีกคนกลับบ้านก่อนแน่ๆ
ผมอยู่ในรถ คิดว่าเอางัยดีล่ะ แล้วตัดสินใจเปิดประตูลงรถไปแล้วเดินไปด้านข้างรถเธอ
เธอลดกระจกซึ่งติดฟิลม์ไว้ลง พร้อม สปีคอิงลิช ว่า “คุณขับรถตามชั้นมาทำไม”
“แล้วคุณต้องการอะไร” ผมก็สปีคกลับว่า “ผมอยากรู้จักเธอ “
เธอบอกผมว่า “เธอมีแฟนแล้ว” ผมตอบเธอว่า “ไม่แน่เผื่อเราอาจเป็นเพื่อนกันได้และผมก็ประทับใจที่เธอเต้นด้วย” .....เธอตอบ "ขอบคุณ"
ผมพูดเสร็จผมก็บอกเธอว่า" งั้นไว้เจอกันใหม่ก็แล้วกัน" แล้วผมก็ขับรถกลับบ้านนอน
ผมเจอเธออีกครั้งในร้านอาหาร แต่เธอมากับฝรั่งตัวท้วม ดูท่าทางจะคบกันอยู่ และคงเป็นแฟนเธอจริงๆ
เพื่อนผมมารายงานว่า เธอกำลังเรียนมหาลัยในโซล แล้วตอนนี้ปิดเทอม
เธอมีญาติมาเปิดบริษัททัวร์แล้วช่วงปิดเทอมก็มาช่วยญาติเธอด้วย จริงแท้เค่ไหนผมก็เลิกสนใจแล้วครับ
สรุปว่ารับประทานแห้วแทน……กิมจิ


TOP

Read More

ไม่มี broke back...หลังรั้วที่เคยเรียนรู้ไว้ซะ

Friday, February 26, 2010
เมื่อไม่นานมานี้ มีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆ โทรเข้ามาหาผม (ซึ่งจริงแล้วผมใช้สองเบอร์ )ในสายเป็นเสียงของชายหนุ่ม เขาไม่รู้จักผม และผมก็ไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร เขาบอกผมว่าได้เบอร์ผมเพราะ มีคนเอาไปโพสต์ในรายการเคเบิ้ลทีวี แล้วเค้าเห็นและจดเบอร์โทรได้แล้วโทรมา แมสเสจในรายการว่า “หาเพื่อนคุยกำลังเหงา” ประมาณนั้น เค้าเล่าให้ฟัง เค้าเลยโทรหาผม และถามว่าเมื่อคืนผมดูรายการนั้นไม๊ ผมบอกว่าเปล่านี่ผมดูรายการเพลงอยู่ แล้วถามผมอีกว่าเป็นแบบนั้นหรือปล่าว ผมไม่แน่ใจว่าเค้าหมายถึงอะไร เค้าก็บอกก็แบบว่าน่ะ ผู้ชายเหงาๆน่ะ ผมก็คืดว่าน่าจะประมาณชอบไม้ป่าเดียวกัน เพื่อความแน่ใจ
ผมเลยถามฝ่ายตรงข้ามที่พูดสายอยู่กลับว่า “แล้วคุณเป็นแบบนั้นหรือ…? ”

เสียงตอบกลับแบบชัดเจน ว่า “ใช่ถ้าไม่ใช่จะโทรมาหรือ”
ผมงี้หัวเราะเลย นึกขำๆอยู่
เค้าถามกลับอีกว่า “ตกลงคุณ ใช่หรือปล่าว”
ผมตอบว่า “ไม่ใช่”
เค้าว่า “แน่ใจนะ”
ผมว่า “แน่ใจซิ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยล่ะ”
เค้าบอกว่า…. งั้นคุณคงโดนใครแกล้งแล้วล่ะ หรือไม่งั้นก็คงมีคนแอบชอบคุณอยู่
ผมนึกในใจ “เป็นอย่างนั้นจริงเหร๊อ”
แล้วเค้าบอกผมว่า งั้นคงโทรมาหาครั้งเดียวแหละ แล้วก็วางสายไป
ผมฟังแล้วนึกขำๆอยู่เหมือนกัน…….
…………………………………………………………………………………….
เคยมีภาพยนตร์เรื่องนึง ชื่อ Broke Back Mountian เป็นเรื่องราวของ รักร่วมเพศระหว่าง ผู้ชาย กับ ผู้ชาย ดัวยกัน
ผมรู้เพราะเพื่อนไปซื้อ DVD มาแล้วซื้อมาผิด เลยเป็นที่มาและขนานนามพวกนี้ในกลุ่มเพื่อนๆที่รู้จักกันว่า
พวก “broke back”
สมัยผมเรียนในช่วงที่เป็น International class มันเป็นมหาลัยแบบเปิด มีต่างชาติมาเรียนกันเยอะ และโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วย ที่นั่นมันไม่เหมือนภาพ นักเรียนนานาชาติ ที่ใส่สูทผูกไทท์ ส่วนใหญ่ก็แต่งตัวตามสบาย ยกเว้นบางโอกาสที่สำคัญจะต้องใส่ยูนิฟอร์ม และหลายอย่างที่บางคนอาจไม่เข้าใจ ว่าความแตกต่างนั้นเป็นยังงัย
อาทิ ไม่ว่าจะเป็นด้าน วัฒนธรรม ภาษา ธรรมเนียม ถึงแม้เป็นมหาลัยเปิด แต่ก็เห็นได้ชัด
การเข้ากลุ่ม สังคม และ เพื่อนฝูง
การเยียดสีผิว
การเยียดชนชาติ
และกระทั่งการเหยียด พวกพฤติกรรม เบี่ยงเบน ไม่ว่าชายหรือหญิง
พฤติกรรม เบี่ยงเบนเกี่ยวกับ เรื่อง เซ็กซ์
หรือแม้กระทั่งเรื่องเกี่ยวกับ ศาสนา ลัทธิ
ล้วนแล้วแต่ถูกแยกไว้ในความคิดของคนที่เข้าเรียนที่นี่ ถึงแม้ว่าจะมีกฎมหาลัยที่เกี่ยวกับความสามัคคีในสถาบันแล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะซึมซับและปฏิบัติตาม
เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องอธิบายว่าหากคุณมีพฤติกรรมดังกล่าว คุณจะโดน ถากถางหรือเยียดหยามมากน้อยแค่ไหน แล้วมันจะทำให้รู้สึกอย่างไร
และคงไม่ต้องอธิบายเหมือนกันว่า พฤติกรรมการเบี่ยงเบนทางเพศ จะมีอยู่ในสมองของผมหรือไม่ เพราะไม่มีฐานข้อมูลเรื่องแบบนี้ในสมองของผมเลยแม้แต่นิดเดียว
หากแต่จะแนะนำให้คุณมองภาพรวมและมุมมอง ของการศึกษาที่เป็นหลักสูตรนานาชาติเสียใหม่ มันอาจแตกต่างจากภาพรวมที่คุณเคยเห็นเคยรู้จักก็ได้
และผมก็ไม่ได้รู้สึก บอยคอร์ดหรือแอนตี้ เรื่องพวกนี้มากนัก เพราะเรียนจบนานแล้ว

อีกอย่างเพราะผมไม่เคยมีและไม่เคยเห็นพฤติกรรม ดังกล่าว ในรั้วของสถาบันที่ผมเคยเรียน
บางทีการที่ผู้ชายทำตัวเรียบร้อยและเงียบๆนั้น….ไม่อาจตีความว่าเขาอาจมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศเสมอไป
หรือว่าใครก็ตามที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ที่ผมเขียน ไม่แน่คุณอาจต้องเตรียม หญ้ามากินแทนข้าวแล้วล่ะ...เอิ๊กๆ




TOP

Read More

นางสาวไต้หวัน นามว่า เลี่ยว จา หยี่

หลายปีก่อนผมได้โอกาสไปเล่นดนตรีในเมืองท่องเที่ยว แถวภาคใต้ จะบังเอิญหรือปล่าวก็ไม่รู้ ที่สถานทำงานมีรายการทีวีต่างประเทศมาถ่ายทำ สกู๊ปเกี่ยวกับเมืองท่องเที่ยวจากไต้หวัน มากันเป็นคณะแล้วมาติดต่อขอถ่ายทำ รายละเอียดซึ่งเกี่ยวกับการโปรโมท ในช่วงแนะนำเมืองท่องเที่ยวในไทย พวกเขามากันเป็นทีมงานและล่ามแปลภาษามาด้วย
ฝ่ายผู้ประกอบการ ขอให้ผมร่วมทำแบล็คกราวด์ ของการถ่ายทำ รวมไปถึงให้สัมภาษณ์ ว่าถึงที่มาของการได้มาทำงานเกี่ยวกับดนตรีที่นี่ และรวมไปถึงทัศนะคติคร่าวๆเกี่ยวกับเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้
เธอ…….ผู้ที่ดูแล้วโดดเด่นกว่าคนอื่น ทะมัดทะแมง ดูร่าเริง คล่องแคล่ว ทำให้ผมเกิดสนใจอยากที่จะพูดคุยด้วยแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะพูดไทยได้หรือปล่าว ซึ่งมารู้ตอนหลังว่าเธอเป็น “พิธีกร” ของรายการทีวีช่องนี้

มิน่าเล่าถึงดูดีเลยที่เดียว ผมคิดในใจ
เริ่มการถ่ายทำ ตากล้องทำตามหน้าที่ หามุมกล้องที่ดีของเขา พวกผมก็เตรียมตัวกันอยู่บนสเตรท แล้วเร่มบรรเลงเพลงแนวเต้นรำอย่างที่เคยแต่ ทว่ามันเป็นเพลงจีน ทุกคนด้านล่างรวมทั้งคณะถ่ายทำและล่าม พากันเต้นโบกไม้โบกมือเหมือนการแสดงจริงๆ เหมือนอยู่ในคอนเสิร์ต ตากล้องของเค้าเด็ด มาก ขณะถ่ายยังโดขึ้นโดดลง ทั้งหมุนทั้งควงกล้องของเค้า
อึมมมม เพิ่งเคยเห็นแบบนี้
หลังจากนั้น โปรดิวเซอร์ของเค้าก็สั่ง “คัท “
จากนั้นก็เริ่ม สัมภาษณ์แต่ละคน โดยมีล่ามคอยแปล โชคดีที่ผมนำกล้อง แฮนดี้แคมติดไปด้วยเลยได้เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกด้วย แถมโดนแซวจากคณะว่า มาจากรายการไหนเนี่ย ตามมาถ่ายซ้ำด้วยหรอ ผมก็ขำๆตอบแบบติดตลกไป
แล้วก็พากันไปถ่ายที่ชายหาด ที่บ่งบอกถึงบรรยากาศแห่งเมืองท่องเที่ยว จนเกือบค่ำ ผมก็ตามไปด้วยแหละครับ เพราะว่าเพื่อนรุ่นน้องคนนึงที่ทำงานด้วยกันขอร้องให้ไปเป็นเพื่อน เพราะเธอถูกจองตัวให้เป็นพิธีกรคู่และคอยตอบคำถาม แต่ไม่ต้องพูดภาษาจีน มีล่ามคอยแปลให้ ส่วนเธอเองก็พูดจีนไม่ได้ แค่พูดอังกฤษได้นิดหน่อย และให้ผมคอยช่วยแปลอังกฤษเป็นไทยให้บางช่วง เนื่องจาก พิธีกรสาวของรายการเธอ พูดอังกฤษได้แต่ ก็ไม่ถึงขนาดน้ำไหลไฟแลบ
เวลาถ่ายที่ชายหาดก็จะต้องถอดรองเท้าและเสื้อวอร์ม เธอผู้เป็นพิธีกรของรายการ ไม่ได้ถอดเองหรอกครับ มีคนตามมาถอดให้ เป็นผู้หญิง รู้ตอนหลังว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ
และก็นำพากันไปถ่ายบรรยากาศร้านขายของที่ระลึก ย่านนักท่องเที่ยว ซึ่งขณะนั้นผู้คนเหล่านักท่องเที่ยวก็เร่มพลุกพล่านแล้ว พอถ่ายทำกันจนพอใจ ทางทีมงานของเค้าก็บอกกับผมว่าเดี๋ยวจะพาไปหาอะไรทานกัน เพราะเย็นแล้วกลัวจะหิวเพราะเรื่มถ่ายกันตั้งแต่บ่าย
ช่วงพักผมก็ได้มีโอกาสอยู่กับเธอ คุณพิธีกรสาวไต้หวันคนนั้น เลยได้มีโอกาสซักถามรายละเอียด ชื่อเสียงเรียงนาม ที่มาที่ไปพอสมควร ได้ความว่า เธอ ชื่อ เลี่ยว จา หยี่ (แซ่เลี่ยว) ทำงานเป็นพิธีกรรายการนี้ ซึ่งเป็นส่วนนึงของรายการเกมส์โชว์ที่ไต้หวัน ซึ่งต้นสังกัดตอนนั้นคือ จีทีวี (GTV) เคยเป็น มิสไต้หวัน เล่นภาพยนตร์ที่ไต้หวันด้วย และกำลังถ่ายละครดราม่าอยู่ด้วย และเธอมีชื่ออังกฤษว่า เวนนี่ เธอว่าเรียกแบบนี้ง่ายกว่านะ
เธอดูน่ารัก กระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว ตาโต หุ่นเพรียว เอวบางร่างน้อย แต่แข็งแรง เธอพูดภาษาญี่ปุ่นได้พอประมาณ เพราะเพื่อนเธอที่อยู่เฮดออฟฟิศในไต้หวัน สอนให้ เธอว่างั้น ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกครับ ไม่รู้เป็นดาราจริงหรือปล่าว ทีวีไต้หวันก็ไม่เคยดูนี่หน่า
ผมเลยถือโอกาสขอนามบัตรเธอ แต่เธอว่า "เธอไม่มีหรอกนามบัตร"ผมชักเอะใจบางอย่าง
แล้วเธอก็ตอบว่า เป็นดาราจะมีนามบัตรได้งัยล่ะ ….(อุ๊ย…!...จริงหรือครับที่ว่า ดาราไม่มีนามบัตร )
แล้วเธอก็ตอบให้ผมหายสงสัยอีกว่า เวลาติดต่องานน่ะ ผู้จัดการส่วนตัว คอยจัดคิว และทำทุกอย่างให้
หน้าผมหดเหลือติ๊ดเดียวครับ เหอะๆขอนามบัตรดารา เธอบอกกับผมว่า มีแต่เบอร์โทรเอามั้ยล่ะ
ว๊าววววว….. ได้เบอร์โทรด้วยเหรอนี่ เธอบอกเบอร์ส่วนตัวของเธอเสร็จ เธอว่าถ้ามีโอกาสไปเที่ยวไต้หวันอย่าลืมโทรหานะจะพาเที่ยว
แล้วเราก็พากันเดินไปต่อรวมทั้งน้องที่เป็นพิธีกรร่วม(ชั่วคราว)นั่นด้วย สักพักเสียงผู้จักการก็เรียกเราให้ไปทานข้าวกัน
เกือบถึงร้านอาหารซีฟู๊ดที่หมายซึ่งทางทีมงานจองไว้ เจอกลุ่มนักท่องเที่ยว พวกเขาเริ่มจับตามองมาที่ผมกับเวนนี่ เพราะผมสังเกตเห็น พักเดียวกลุ่มนักท่องเที่ยวดูจะเป็นชาวจีนน่ะ วิ่งกรูมาที่เรา ส่งภาษากันเจี๊ยวจ๊าว(ฟังไม่ออก….อ่ะ) ประมาณว่ามาขอลายเซ็นต์เธอและขอถ่ายรูปครับ ผมเลยปลีกตัวไปซื้อพิซซ่าเพื่อแก้อาการหน้าแตกในตอนแรกที่คิดว่าเธอไม่ใช่ดาราจริงๆ หลังจากกลับมาพร้อมพิซซ่าถาดใหญ่ เธอก็ชวนทานข้าวด้วยกันพร้องกับพิซซ่าถาดนั้น กับคณะของเธอ แล้วก็บอกผมด้วยว่า"หายตัวไปไหนเลยเมื่อกี๊" เสร็จจากมื้ออาหาร คณะของเธอก็ถ่ายรูปเราไว้เป็นที่ระลึก… งัยล่ะ ! มีโอกาสดีๆได้ทานข้าวกับดาราต่างประเทศด้วยนะเรา
จากนั้นก็มีถ่ายช่วงกลางคืนอีกเล็กน้อยแล้วก็แยกย้ายกันกลับ ทุกวันนี้เธอย้ายต้นสังกัดจาก GTV แล้ว แต่ยังคงทำรายการเกมส์โชว์รายการอื่นต่อ
ขอบคุณโอกาสดีๆนะครับ นางสาวไต้หวัน เลี่ยว จา หยี่

Wenny,When you looking at this post and available to transilate of yours.
I just want to say thank you for most of good chance,we have.


TOP

Read More

น้อง PDA...ที่รัก

เทคโนโลยีและการสื่อสาร เป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญระดับนึงควบคู่กับชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนเมือง เฉกเช่นมนุษย์เยี่ยงผมในปัจจุบัน
หลังจากที่ต้องเปลี่ยนโทรศัพท์มิอถือไปหลายเครื่อง ทำหายไปบ้าง และต้องตัดสินใจอีกครั้งที่จะต้อง ลาจาก น้อง N 72สีดำเงาทรงสวย อีกครั้งเพราะการตอบรับความต้องการมันดูท่าจะไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผม และดูจะเข้ากันกับผู้หญิงซะมากกว่าผู้ชายเช่นผม

แน่นอนผมคิดอยู่หลายวัน และสุดท้ายก็ขายต่อคนอื่นไป และก็ลองมองหาเครื่องมือสื่อสารแบบอื่นแทน
ต่อไปนี้ต้องดูและตัวเองดีๆนะน้อง N 72 ของผม …….พร้อมกับโบกมือบ๊ายบายกับเธอไป
และแล้วก็ต้องสะดุดกับ แบรนด์ที่ผมคุ้นเคยอย่าง HP ซึ่งมันไม่ใช่โทรศัพท์โดยตรง ส่วนหนึ่งกลุ่มคนจะรู้จัก HP ในเรื่องของ PDA phone ที่ไม่ใช่พวก smart phone เหมือน N 72
PDA (ย่อมาจากคำว่า Personal Digital Assistants) จัดเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มือถือขนาดเล็ก ที่มีผู้นิยมใช้งานกันมากในปัจจุบัน ใช้สำหรับการบันทึกข้อมูลลูกค้า ตารางนัดหมาย ปัจจุบัน สามารถทำงานได้ใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเลยทีเดียว เช่น การทำ เอกสาร Word, Excel หรือแม้กระทั่งการใช้งานอินเตอร์เน็ต ในการเล่นเว็บ หรือการรับ-ส่งเมล์ และอีกอย่างที่สำคัญคือสามารถทำงานด้านมัลติมีเดีย หมายถึงการ ดูหนัง ฟังเพลง ได้อีกด้วย
แหล่ะนี่….แบบนี้มันช่างตอบรับไลฟ์สไตล์อย่างผมได้ดีเลยทีเดียว
ซึ่งตอนนั้น Black berry หรือชื่อย่อที่เรียกว่า BB นั้น คือโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่ง ที่มีจุดเด่นในเรื่องของระบบ Push Technology ซึ่งโทรศัพท์มือถือ BlackBerry รับ-ส่งอีเมล์จาก Mail server ถึงเครื่อง BlackBerry อย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเปิดโปรแกรม ด้วยเทคโนโลยี Push mail ยังไม่เข้ามาแพร่หลายในไทย
และผมเองก็เทใจไปให้ น้อง PDA คนสวยอย่าง HP 6828 ไปโดยไม่รั้งรอ ถึงแม้จะไม่ใหม่ก็ตาม แต่เธอช่างน่าเอ็นดูซะเหลือเกิน อาจเจอปัญหาเรื่องเสียงเรียกเข้าเบาไปหน่อย แต่ก็ให้อภัยได้ ซึ่งแลกกับการตอบสนองด้านอื่นๆที่ผมต้องการที่เธอมีให้ก็คุ้มกับเงินที่เสียไป
และผมก็เพิ่ง อัพเกรดให้เธอได้ทันสมัยติดเทรนด์กับ WM 6.1( windows mobile 6.1 )ด้วยมือผมเองพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอใหม่ด้วยกรอบเงินบรอนซ์ ที่โฉบเฉี่ยวของตระกูล HP เมื่อต้นปี เธอจะยังครองใจและรับใช้ผมอีกนาน
สำหรับเรื่องโทรศัพท์ เธอตอบสนองผมได้ดี อาจมีสัญญาณแกว่งบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ ของ PDA phone ทุกแบรนด์อยู่แล้ว
ที่สำคัญผมยังหาผู้ช่วยให้เธอกับงานด้านโทรศัพท์ อย่าง sony-ericson T250i พร้อมกับอีกหนึ่งเบอร์ ไว้ช่วยแชร์เรื่องค่าโทรและเวลาเกิดอาการแกว่งสัญญาณ หรือแบตต์หมด
ถึงแม้ black berry กำลังอินเทรนด์ อยู่ตอนนี้
แต่ผมก็ยังอุ่นใจกับ HP6828… น้อง ..PDA …….ผู้น่ารักของผม
อึมมมม ..ว่าแล้วมานี่มา….จุ๊บ… จุ๊บ….
:)


TOP

Read More

มิติ....ลึกลับ

Thursday, February 25, 2010
ปี 2007 อพาร์ทเม้นแถวลาดพร้าว
คืนหนึ่งหลังจากทำงานเสร็จ ก็ประมาณตีหนึ่ง กว่าจะกลับถึงที่พัก อาบน้ำ เตรียมตัวนอน วันนั้นไม่มีแอลกอฮอล์ในร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะตอนเช้ามีธุระต้องออกไปข้างนอกแต่เช้า เปิดแอร์ ใส่ขาสั้นเสื้อกล้าม เอาผ้าห่มคลุมหน้าอกไว้ เพราะกลัวเป็นหวัด
เปิดไฟหัวเตียงหรี่ๆ หลับได้ประมาณชั่วโมงเศษๆ
รู้สึกตัวเพราะเหมือนมีอะไรสากๆคล้ายๆ ลิ้นแมว แต่รู้สึกว่ามันใหญ่กว่า แลบแพลบผ่านสีข้างไปช้าๆ ด้วยความสากนั้น
มันทำให้ขยะแขยง จนต้องลืมตาตื่นขึ้นเพราะอยากรู้ว่ามันอะไร แต่ขณะที่งัวเงียลืมตาขึ้น

……ทันใดนั้นเอง โอ้วว ….พระเจ้า หน้าคนแบบเต็มๆ ลอยเด่น อยู่ห่างจากหน้าผม ประมาณหนึ่งฟุต เห็นจะได้
มันทำให้ผมตาค้างตาเบิกโพรง ตกใจสุดขีด ตัวเกร็งขนลุกซู่ พอเริ่มตั้งสติได้ พยายามสังเกตสิ่งที่ตาเปล่ามองเห็นได้
เพราะแสงไฟจากหัวเตียง ที่หรี่ไว้ เหลือบมองเห็น นาฬิกาที่ติดผนัง ฝั่งตรงข้ามปลายเตียง บอกเวลาว่าตีสามกว่า เช่นเดียวกับหน้าคนนั้นลอยอยู่ด้านหน้าผม ไม่มีผม ไม่มีคิ้ว ไม่มีหู มีตา มีจมูก มีปาก สีหน้าดูเฉยๆไม่โกรธ ไม่ยิ้ม ตรงคอดูเหมือนมีอะไรห้อยย้อยลงไปดูแล้วคล้ายสาหร่ายแต่มองดูไม่ชัดเท่าไหร่
หัวคนนั้นยังคงจ้องมองผมอยู่ไม่ละสายตา ทำไงดีล่ะ.......เหงื่อเริ่มแตกเป็นเม็ดๆ
อากาศเริ่มร้อนทั้งๆที่แอร์ยังเปิดอยู่
หลังจากนั้นผมเริ่มตั้งสติอีกครั้ง คิดในใจว่า นี่เราฝันไปหรือนี่ ลองเช็คร่างกายดู
ชยับบิดแขนค่อยๆด้านขวา โอ้ววว ขยับได้
ขยับบิดแขนด้านซ้ายช้าๆ อึมมมม ขยับได้ ปกติ
ตาผมก็ยังคงจ้องกับหัวคนที่ลอยอยู่ แถมในตาก็ยังจ้องมองผมกลับเช่นกัน
ผมค่อยขยับเช็คดูร่างกายแบบช้าๆ กลัว เกิดอะไรขึ้นมาจะช็อคไปซะก่อน
ต่อไปขยับขวาและซ้ายตามลำดับ ปกตินี่......ทุกอย่างร่างกายผมปกติ
ผมไม่ได้ฝัน ผมไม่ถูกผีอำ นี่มันเรื่องจริงนี่ เอาแล้วงัย.......!!!!!
ผมค่อยๆเลื่อนมือขวาขันไปที่หัวเตียงอย่างช้าๆ เพื่อหมุนดิมเมอร์ ปรับแสงไฟให้สว่างขึ้น
พระเจ้าช่วย……..หัวคนที่เห็นเป็นหัวคนจริงๆ และยังคงลอยอยู่ห่างหน้าผมแค่หนึ่งฟุตเหมือนเดิม
เหงื่อเริ่มแตกมากขึ้นจนซึมไปด้านหลังและที่ศรีษะ รู้สึกขนหัวลุกซู่……..
ผมจะทำไงต่อดี จะสวดมนต์ดี หรือขอพรพระเจ้าดี ทำอะไรไม่ถูก แล้วถ้าสวดมนต์ไอ้เจ้าหัวคนที่ลอยอยู่ข้างหน้านี่จะหายไปมั้ยหล่ะ !!!
นี่ถ้าลูกตามันโปนขึ้นมาแล้วหล่นลงมาที่หน้าอกผม ผมคงช็อคแน่ๆ
เหมือนอะไรสักอย่างทำให้หัวคนที่ลอยอยู่ ค่อยๆลอยห่างออกไปจากหนึ่งฟุตตรงหน้ากลายเป็นสองและสามตามลำดับ
พอห่างออกไปประมาณเมตรนึง ผมค่อยๆยกมือซ้ายขึ้นชี้นิ้วไปที่หัวนั่นอย่างช้าๆ พอเหยียดแขนตึงได้ที่
ผมอ้าปากเพื่อใช้เสียงตัวเองข่มความรู้สึกที่เงียบงันขณะนั้น แล้ว ตะโกนออกไปอย่างสุดเสียงว่า“ มึงมาทำไมเนี่ย “
ผมไม่รู่ว่าทำไมถึงตะโกนแบบนั้นได้ คงเพราะความกลัวสุดขีดแล้วทำอะไรไม่ถูก แขนยังคงชี้ขึ้นทำมุม 45 องศา กับลำตัวที่ยังคงนอนราบกับที่นอน ในขณะที่ หัวคนนั้น ค่อยๆลอยไปติดผนัง แล้วเลือนหายไปช้าๆ
ผมค่อยๆเอาแขนของผมที่ชี้เมื่อครู่ ลงช้าๆแล้วยันตัวเองลุกขึ้นั่งช้าๆ บนที่นอน หันกลับไปมองดูนาฬิกาประมาณ ตีสามครึ่ง แสดงว่าช่วงเวลาขณะนั้นกินเวลาสิบห้าถึงยี่สิบนาที
ลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟให้สว่างทั้งห้อง แล้วนั่งลงคิด
ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ตุบๆชัดมาก
เอ๊ะ…..นี่ใช่มั้ยที่เค้าเรียกว่า ผีหลอก
ของจริงๆ เห็นแบบเต็มๆ
เราไม่ได้ฝันไปนี่ จากตอนที่รู้สึกตัว จนลุกขึ้นมานั่งตอนนี้
ครุ่นคิดอยู่จนเช้า โทรเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกว่า อาจเป็น “สัมพเวสี” อะไรทำนองนั้นซึ่งเราไม่รู้จักว่าคืออะไร
บางคนว่า ลองดูอีกวันดูสิว่าจะเจออีกมั้ย
ไม่ได้ลองของครับ แต่อยากรู้ว่าสิ่งที่เห็นนั่นมันคืออะไรกันแน่ คืนต่อมาลองดูอีกใช้เวลาเหมือนเดืม ลองทำแบบคืนที่ผ่านมา…………แต่………..ไม่เจอครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก


แล้วคุณล่ะเคยเห็นอะไรแบบนี้หรือยัง?



TOP

Read More

ปากกาที่ไร้เจ้าของ

ช่วงสายของวันคริสต์มาสอีฟ ปี 2007
ตื่นขึ้นมางัวเงียรีบล้างหน้า อ้าววว วันนี้คริสต์มาสอีฟ แล้วหรือเนี่ย เร็วจังนะ เผลอแป๊ปเดียวเทศกาลแห่งความสุขกำลังจะเยื้องย่างเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง
แต่ก็คงเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้มีนัดพิเศษกับใครในวันคริสต์มาส ไม่เคยได้รับช็อคโกแล็ตจากใคร
ไม่มีใครให้จูงมือในวันเทศกาลแห่งความสุขนี้ แล้วจะตื่นเต้นไปทำไมน๊า…..เรา
อ้ะ……พรุ่งนี้ก็วันคริสต์มาสแต่มีเรียนภาษาญี่ปุ่น อึมมมม …..
จะได้เจอสาวคนนึงที่น่ารักที่มาเรียนด้วยกันอีกครั้งและ…….เหอะๆๆๆๆ คิดแล้วใจเต้นตูมๆเลย
คิดได้แบบนั้นงั้นออกไปหาของขวัญให้ในวันคริสต์มาสดีกว่านะ อย่างน้อยก็เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดี
….แล้วก็ลุกจากเตียงนอนเดินมั่นใจเข้าห้องน้ำไป ขัดสีฉวีวรรณ (แบบลวกๆตามนิสัยผู้ชาย)
แล้วรีบไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว
พอไปถึงก็กวาดสายตามองหาของขวัญเผื่อไปฝากใครบางคน และเจ้าหล่อนก็ไม่ได้รู้ตัวสักนิดว่ามีคนจะทำเซอร์ไพร์ส
ซื้ออะไรดีล่ะเรา…..ยืนครุ่นคิดอยู่นาน…….. ว้าๆๆๆ อันนั้นถูกไป เอ๊ะ……อันนี้แพงไป….
ผู้หญิงเค้าชอบอะไรกันล่ะ (จะรู้มั้ยล่ะ)
อันนี้เหมาะหรือปล่าวน๊า หรือว่าไม่เหมาะ
…..ผู้หญิง เรียนอักษรศาสตร์ ก็น่าจะชอบขีดๆเขียนๆ น่าจะเป็นอย่างนั้นนี่นะ
งั้นซื้อนี่ดีกว่า “ ปากกา”
แต่…..เอ๊…… แบบไหนดีล่ะ อึมมมม ถูกไปเดี๋ยวจะหาว่าเราโลคลาส อึมมมมม แต่ถ้าแพงไปก็อาจดูเวอร์เกิน
“เอาด้ามนี้หล่ะครับ” ผมบอกพนักงานขายพร้อมกับชี้ไปที่ปากกาด้ามเงิน ดูทันสมัยไม่เชยจนเกินไปวางอยู่ในกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินดูมีคลาสนิดๆ
“ห่อเป็นของขวัญให้ด้วยครับ”
หลังจากได้รับปากกาที่ห่อเป็นของขวัญแล้วก็กลับไปพักผ่อน รอเผื่อจะนำไปเป็นของที่ระลึกในวันคริสต์มมาสพรุ่งนี้
……วันที่ 25 ธันวาคม 2007
ห้องเรียนภาษาญี่ปุ่น ทุกๆคนเริ่มทยอยเข้าเรียน เธอเดินเข้ามาแล้วนั่งลงข้างๆผมตามเคย วันนี้เธอก็คงดูดีเช่นเดิม อาจารย์เข้าสอนตามเวลา เราเริ่มเรียน ผลัดกันถามตอบตามสูตร ผมยังคงนั่งระทึกใจกับแผนการทำเซอร์ไพรส์กับใครคนนึง และแล้วเวลาเรียนก็จบลง บ่ายสี่โมงกว่า คือเวลาขณะนั้น
ทุกๆคนเตรียมเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับ ซึ่งรวมทั้งเธอและผม ในขณะนั้นเอง
ผมล้วงมือไปในกระเป๋าสะพายของผม เพื่อหยิบของขวัญ พร้อมกับยื่นมันให้เธอที่นั้งด้านข้าง
แล้วเอ่ยขึ้นว่า” เมอร์รี่คริสต์มาส” เธอรับไปพร้อมกับอมยิ้มแบบงงๆ เธอกล่าว”ขอบคุณนะ”
แล้วลุกออกจากห้องเรียนไปก่อน ส่วนผมก็กำลังปลื้มกับการกระทำของตัวเองอยู่พร้อมทั้งเก็บตำรับตำราเพื่อเตรียมตัวกลับ ทันใดนั้นเอง เพื่อนร่วมชั้นที่นั่งด้านหน้าเราคนนึงเดินกลับเข้ามาพร้อมกับถือกล่องของขวัญชิ้นเล็กๆ ที่เพิ่งให้ไปนั้นนำกลับมาคืนให้ผมพร้อมกับพูดว่า “ เธอบอกให้เอามาคืนน่ะ”
งง ….มั้ยครับ งง…..ดิ
แต่ผมก็เก็บมันใส่กระเป๋าของผมไว้ตามเดิม ครุ่นคิดว่า ถ้าไม่เอาก็น่าจะปฏิเสธตั้งแต่ทีแรกก็ได้ “ยังงัยกันเนี่ย”
ขณะเดินลงจากอาคารเรียน ผมเห็นเธอด้านล่างยืนอยู่กับชายดูมีอายุคนนึง ผมเดินผ่านเธอไป ไม่ทักไม่พูดอะไรทั้งนั้น
กำลังคิดกลับไปกลับมาว่า “ถ้าไม่เอาแล้วรับไปทำไม ทำไมไม่ปฏิเสธตั้งแต่ทีแรก” ………………“ แล้วเราจะเอาไปให้ใคร”
ห่อของขวัญแล้วด้วย ปกติหลายคนก็ให้ของขวัญกันในวันคริสต์มาสอยู่แล้ว แล้วมันก็ไม่ได้ใหญ่โตแค่ชิ้นเล็กๆเท่านั้น
เพียงแค่ “ คนซื้อตั้งใจเลือก ตั้งใจซื้อมาเป็นของฝาก และเอาความใส่ใจบรรจุลงไปด้วยในกล่องเล็กๆนั่นด้วย ”
สุดท้าย ปากกาด้ามนั้นไม่ได้ถูกใช้งาน มันยังนอนสงบนิ่งอยู่ในกล่อง อย่างไร้เจ้าของ จนกระทั่งทุกวันนี้
คำถามสุดท้ายเกิดขึ้นในสมองของผมอย่างหาคำตอบไม่ได้ว่า………
“ แล้ว…..ผมจะเอาไปให้ใคร? “


TOP

Read More

โซลเมท (soul mate)

ทุกวันนี้คุณเคยฝันใหม?
แล้วคุณฝันถึงใคร?
คุณฝันแบบนี้บ่อยใหม?
คุณคิดว่ามันจะสื่อหรือเป็นตัวบอกเหตุอะไรหรือปล่าว?
คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาใหม?
คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือปล่าว?
คุณอยากรู้ว่าคู่จริงๆของคุณเป็นใครใหม?
แล้วคุณถ้าคุณอยากรู้ คุณจะรู้ไปเพื่ออะไร?

……………………………………………………………………………………………………………………
ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องโชคชะตาสักเท่าไหร่
เพราะผมคิดว่า ” ชีวิตเรากำหนดได้ด้วยปัจจุบัน ”
แต่มีเหตุการณ์หลายๆอย่างที่ทำให้ผมเองต้องกลับมาคิดทบทวนดูใหม่ว่า
จริงแล้ว เรากำหนดชีวิตตัวเราเองหรือ ชีวิตเราถูกกำหนดมาแล้ว ส่วนหน้าที่เราคือแก้ไขชีวิตของเราเองในช่วงเวลาที่เรามีลมหายใจ ให้ดีกว่าที่เคยเป็นมาในชีวิตที่แล้ว จนกว่า จะเหลือแค่ชีวิตเดียว แหละนั่นคงหมายถึง แค่ เกิดมาแล้วตายแค่ครั้งสุดท้ายและครั้งเดียว อย่างนั้นหรือ!!
จะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่าผมก็ไม่มีคำตอบ
เข้าเรื่องดีกว่านะ…………….อืมมมมมม
นั่นเป็นเพราะความอยากรู้และอยากที่จะเป็นสุข หลายปีที่แล้วได้มีโอกาสถามเรื่องโชคชะตาตัวเองกับพระรูปหนึ่ง
ซึ่งทุกวันนี้ท่านก็ลาสิกขาออกมาด้วยโรคประจำตัวรุมเล้าและเสียชีวิตไปหลายปีแล้วเช่นกัน
และคำถามของผมตอนนั้นคือ
ผมจะได้เจอคู่แท้ของผมใหม?
คำตอบก็คือ "อาจจะเคยเจอกันแล้ว"
แล้วผมก็ถามต่อว่า แล้วรูปร่างหน้าตาเธอเป็นอย่างไร?
คำตอบก็คือ "รูปร่างเพรียว ไม่ต่ำไปและ ไม่สูงไป ฐานะดี ปัญญาดี ผิวค่อนไปทางขาว
ชอบทำอะไรคล้ายๆกัน"
ผมเลยถามต่อว่า แล้วผมจะได้อยู่กับเธอไหม ?
คำตอบก็คือ "อาจจะ"
ผมก็ถามอีกว่า แล้วเนื้อคู่หมายถึงอะไร?
ท่านตอบว่า "คนเรานั้น มีคู่อยู่ด้วยกันสามคู่ คู่แท้หนึ่งคนและคู่อุปถัมป์สองคน
( ซึ่งตรงกับคัมภีร์ ไบเบิ้ล ในคริสตจักร และเรียกว่าคู่แท้ว่า โซลเมท=soul mate )
การที่ได้อยู่กับคู่แท้ตัวเองนั้นหมายถึง จุดอิ่มตัวของชีวิตคู่ อยู่เย็นป็นสุข ไม่ออกนอกลู่นอกทาง อยู่กันยันแก่ยันเฒ่า"
ท่านว่างั้น "แต่……ไม่ใช่ทุกๆคนสามารถเจอและใช้ชีวิตอยู่กับคู่แท้ของตนได้ บางคนอาจเจอแล้ว แต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ หรือบางคนไม่เจอกันเลยก็มี บางคนเจอคู่แท้ของตนแต่อยู่ด้วยไม่ได้ กลับได้อยู่กับคู่อุปถัมป์ของตนแทน
สุดแล้วแต่โชคชะตา"
ครั้งนึง…ผมเองก็เคยขอพรพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ได้เจอและได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน หรืออย่างน้อยได้เจอกันก็ยังดี จะได้รู้ว่าหน้าตาเธอเป็นยังไง สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครบอกได้ สุดแล้วแต่ สัมผัส ของแต่ละบุคคล และนั่นไม่ใช่การสัมผัสทางกาย หากแต่เป็นสัมผัสทางใจ แล้วคุณล่ะเคยมี สัมผัสแบบนี้บ้างหรือยัง?
มีคนเคยบอกว่าคล้ายๆกับการ ที่เรารู้สึกถูกชะตากับใครสักคน และเช่นเดียวกับรู้สึกไม่ถูกชะตากับคนๆนั้นเลย
อะไรประมาณนั้น
เมื่อสามปีก่อน ผมเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่งลักษณะท่าทางค่อนข้างเหมือนกับที่พระรูปนั้นบอก นั่นอาจจะใช่เธอผู้เป็นของผมหรือ? ผมเองก็ตอบไม่ได้ เธออายุน้อยกว่าผม เราเจอกันโดยบังเอิญ ตอนเรียนพิเศษภาษา เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เจอกัน แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีก
ผมเองสะดุดเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ใจเต้นตูมๆ ลักษณะของเธอสอดคล้องกับคำบอกที่พระรูปนั้นท่านกล่าว ความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมาในสมองทันที
อาจจะว่าบ้าหรืองมงาย หริออะไรก็แล้วแต่ ที่หลายๆครั้งผมฝันถึงเธอ บางครั้งฝันถึงเธอกับเรื่องที่สวยงามซึ่งมันทำให้ผมมีความสุขมาก และไม่อยากที่จะตื่นจากความฝันนั้นเอาซะเลย และพยายามที่จะฝันต่อแต่ก็ล้มเหลว
มันไม่สามารถบังคับได้ว่าจะฝันวันไหน ตอนไหน เมื่อไหร่
และในบางครั้งผมฝันถึงเธอในลักษณะที่เธอกำลังมีทุกข์ มันทำให้ผมรู้สึกเป็นกังวลกับเธอว่าเธอกำลังเป็นทุกข์อยู่
หรือปล่าว และทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาในบางครั้ง และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังติดอยู่กับพันธณาการบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
ผมอยากจะบอกกับเธอโดยตรงแต่ผมไม่สามารถทำได้ เพราะผมติดต่อเธอไม่ได้ และถ้าผมบอกเธอได้ก็ไม่รู้จะทำให้เธอรู้สึกดีหรือปล่าว หรืออาจจะไม่มีซิกเซ้นท์ ( six sense ) อะไรเกี่ยวกับผมเกิดขึ้นกับเธอเลยแม้แต่น้อย…….ก็ได้
ทุกวันนี้บางครั้งผมก็ยังฝันถึงเธอ มันคล้ายกับคนเดินตกหลุมแล้วหาทางขึ้นจากหลุมนั้นเองไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่…..หรือนั่นอาจเป็นสัญญานของพระเจ้าที่มอบสัมผัสนี้ให้ แต่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะขอพระเจ้าให้สมหวังกับเธอ บางทีพระเจ้าอาจมอบให้ผมแค่พึงพอใจที่ได้คิดและแค่ได้ฝันก็เป็นได้ เพราะเวลานี้มันอาจไม่ใช่เวลาของผม
………………………………….แล้วคุณล่ะ?






TOP

Read More

ชีวิตในต่างแดน เขตปกครองตนเองพิเศษ มาเก๊า

Wednesday, February 24, 2010
ปี 2006 ระหว่างทางใดทางหนึ่ง ไปสมัครสอบการทางพิเศษเพราะ ความคะยั้นคะยอของญาติที่มีความคิดอยากให้เปลี่ยนงาน ตั้งแต่ออกจากงานเก่าด้านเอนเตอร์เทนเม้นท์คลับ (เป็นนักดนตรีบริษัทน่ะ )
ไปสอบแล้วดันสอบได้ รอเรียกรายงานตัว โชคชะตาเจ้ากรรม ด้านงานดนตรี ดันติดต่องานต่างประเทศได้อีกสรุปได้ทั้งสอง จำต้องเลือกทางใดทางหนี่ง ทำงัยดีหล่ะที่เนี้ย
คิดอยู่หลายวันตกลงปลงใจ ไปทำงานที่ต่างประเทศ ทางฝ่ายบุคคลการทาง ก็ดี โทรมาตามให้ไปรายงานตัว แต่ทำงัยได้ บอกไปว่า “ขอสละสิทธิ์ครับ” ตกลงไปต่างประเทศ
วินาทีแรกที่เครื่องลงจอดสนามบินนานาชาติเขตปกครองตนเองพิเศษ มาเก๊า เวลาประมาณเที่ยงคืน เวลาที่โน่นจะเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง ใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะคุ้น
เป็นประเทศที่กฎหมายเคร่งครัดประเทศหนึ่ง สะอาดได้ที่ ถังขยะเยอะมากมีเป็นจุดๆ แยกกันระหว่างแห้งกับขยะเปียก
หากทิ้งเลี่ยลาดโดนปรับคิดเป็นเงินหลายพันเลย
อากาศเย็นชื้นๆมีแดดออกแต่ไม่ร้อนมาก เหมาะกับการหนีร้อนไปพักผ่อน คาสิโน มีเป็นดอกเห็ดทุกอณูของเมือง โรงแรมเยอะมากมีหลายระดับส่วนใหญ่จะมีคาสิโนด้วยในตัว นักแสวงโชคเดินกันพลุกพล่านทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นเมืองที่ครึกครื้นไปด้วยแสงสี ตระการตา
ผู้หญิงรัสเซีย มองโกล จีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาหาเงินกันเยอะ
คนที่นั่นดีครับชอบคนไทยแต่กลับไม่ชอบคนฟิลิปินส์ คนฟิลิปินส์ส่วนใหญ่ ไปทำงานเป็นพนักงานร้านอาหาร ไม่ก็เป็นยาม
มีย่านคนไทย ขายของไทย แต่อยู่ไกลมากจากที่พักที่เป็น คอนโดห้องชุดที่ทางผู้ประกอบการจัดให้
ค่าเงินมีเงินฮ่องกงและเงินปาทากัส หนึ่งเหรียญก็ประมาณ ห้าบาท บวกลบตามกระแสเงินโลก
ค่าเครื่องก็ประมาณสองหมื่นตั๋วไปกลับแบบระบุวันไปแต่ไม่ระบุวันกลับ( open ticket ) ไม่ได้ต้องออกเอง ทุกอย่างผู้ประกอบการดูแลหมด เงินเดือน 10,000 HKD (ฮ่องกง ดอลล่าห์)รวมค่าเดินทางไปทำงานด้วย อีกวันละ 50 MOP (มาเก๊า ปาทากัส)
อยู่ที่นั่นแรกๆก็แชร์เงินกันซื้ออาหารมาทำกินเองครับ แต่หลังๆไม่มีใครทำ ก็เลยต้องออกไปกินข้างนอก ซึ่งจานหนึ่งรวมน้ำซุปกับน้ำแก้วนึงก็ราวๆ ร้อยกว่าบาท
ผู้หญิงที่นั่นก็ขาวๆหมวยๆ สวยบ้างไม่สวยบ้างคละกันไป เซ็กซ์ที่นั่นหาง่าย ถูกใจกันก็จูงมือไปโรงแรม แล้วจะต่อความสัมพันธ์หรือจะหยุดแค่นั้นแบบ ( one night stand ) ก็แล้วแต่ ว่ากันไป ที่สำคัญผู้หญิงที่นั่นไม่มองข้ามถุงยางอนามัย ไม่เหนียมอายกับการป้องกันตัวเอง
เรื่องการกินเหรอครับ พวกเธอหรือเขา ทำได้อย่างมูมมาม เสียงดัง แล้วก็เลอะเทอะ ไม่ว่าจะสวยจะหล่อแค่ไหน และดูเหมือนเป็นธรรมเนียม ที่ต้องทิ้งเศษอาหารไว้ข้างจาน แทนที่จะร้องขอถ้วยแบ่งเผื่อใส่มันกันไม่ให้เลอะเทอะ
ร้านอาหารมีเยอะ แต่ผมชอบไปนั่งแถวๆ ร้าน eskimo มีหลายสาขาครับ วัยรุ่น วัยทำงาน ใช้บริการกันเยอะ อาหารก็หลากสไตล์
ส่วนเรื่องแฟชั่นละก็ไม่ต้องพูดถึง เค้านำบ้านเราแน่นอน คนส่วนใหญ่จะทำสีผม ดัด ย้อม โกรก สี ถ้าไม่ทำละก็เชยแหลกละครับ แถมดูจะออกแนวพวก ฟิลิปินส์ หรือไม่ก็พวก จีนแผ่นดินใหญ่ (ไต่หลก ภาษา จีนกวางตุ้ง หมายถึง คนจีนแผ่นดินใหญ่) ที่บ้านเราเรียก จีนแดง น่ะ
เวลาออกนอกบ้านไม่มีใครใส่รองเท้าแตะแต่จะสวมรองเท้าลำลองหรือไม่ก็รองเท้าผ้าใบแทน
ภาษา ที่นั่นใช้ ภาษาหลักคือ จีนกวางตุ้ง( Cantonese ) และ โปรโตรกรีส ( Portuguese) สังเกตุได้จากตามป้ายถนนนหรืออาคารต่างๆ ส่วนอังกฤษและจีนกลาง ( mandarin ) เป็นภาษากลางใช้ตามโซนนักท่องเที่ยว ศูนย์การค้า โรงแรม
หลังจากอยู่ที่นั่นประมาณเดือนครึ่ง ก็ได้ work permit คราวนี้ล่ะเดินยืดไปเลย มันเหมือนบัตรประชาชนอ่ะครับ สามารถทำธุระกรรมการเงินได้ รวมถึงการซื้อที่เป็น อสังหาริมทรัพย์ แต่เดี๋ยวก่อน !!!!.....ถ้าคุณซื้อตอนนี้…..( เอ้ยยย ไม่ใช่ๆๆๆๆ )
แต่ผมก็ไม่ได้ซื้ออะไรแบบนั้นเลย มีไว้งั้น สแต้มป์ ตัวเขียว บนวีซ่า อายุของมันคือ หนึ่งปีเต็ม แค่ได้ใช้สิทธิ์ อยู่และทำงานอย่างถูกต้องตามกฏหมายก็เท่านั้น


TOP

Read More

ย่างก้าวของชีวิต

เกิดมาจากครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ไม่รวยและก็ไม่จน เรียนโรงเรียนเอกชนตั้งแต่เด็ก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เล็กๆ
แต่ก็ไม่เคยรู้สึกน้อยอกน้อยใจนะ อาจเป็นเพราะ มียายและตา(ตาเป็นข้าราชการน่ะ )คอยดูแล ไปรับไปส่งตอนไปเรียน
ใส่รองเท้าหนังตลอดเสื้อผ้างี้เนี๊ยบทุกวัน ก็มีเพื่อนร่วมห้องไม่กี่คนที่ใส่แบบนี้รู้สึกว่าดูดีมีชาติตระกูล(แต่ก็อยากใส่รองเท้าผ้าใบนะเพราะเค้าใส่กันเยอะแล้วก็ถูกกว่า ดูเท่ดีด้วย แต่ไม่เคยได้ใส่กะเขาซะที)
ผมเรียกท่านทั้งคู่ว่าพ่อกับแม่แทน แต่ก็มารู้เอาตอนหลังว่าท่านไม่ใช่พ่อกับแม่ที่แท้จริงเพราะท่านบอก แต่แม่เราแท้ๆกับเรียกว่า พี่ จำได้ว่า งงๆอยู่ตอนนั้น แต่ก็เฉยๆ (ถึงว่าทำไมเรารู้สึกรักพี่สาวคนนี้ มากกว่าคนอื่น ) มารู้สึกน้อยใจตอนจบ ม.ต้น เพราะที่บ้านเรามีปัญหากันเองเรียกว่าทะเลาะกันทั้งบ้านว่างั้นเถอะ
รู้สึกเสียใจมาก เรื่องเรียนก็ด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าอาจไม่ได้เรียนต่อ(เห้อ...กรรม)
น้องสาวของยายบอกกับยายตอนเราไปเยี่ยมคุณยายทวดตอนปิดเทอม (ซึ่งก็ไปทุกๆปิดเทอมนั่นแหละ) ว่าจะให้เราย้ายมาเรียนที่โรงเรียนใหม่และต้องอยู่กับน้องของยายช่วยดูแลคุณยายทวดด้วย จะเอาไม๊!โดยส่วนตัวน้องสาวยายทำงานราชการแต่ไม่แต่งงานไม่มีลูกชอบส่งเสียหลานๆ แกมีฐานะดีแต่แกก็ไม่ค่อยชอบหลานผู้ชายนักอาจเป็นเพราะเหตุนี้เราจึงตัดสินใจไม่เรียนต่อและก็รู้สึกคิดถึงยายด้วยเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกัน
จากนั้นได้ไปหางานทำและมีโอกาสสอบเข้าเรียนโรงเรียนสายอาชีพจากเงินทุนของตัวเองที่เก็บสะสมได้ตอนทำงาน เหนื่อยมากๆเพราะนอนดึกและต้องไปเรียนตอนเช้าแถมโดนหัวหน้างานโจมตีอีก หาว่ามีเวลาให้กับงานไม่เพียงพอ(โถ....ชีวิตคนจะใฝ่เรียนยังมาเป็นมารอีก)
เอางัยล่ะที่นี้ มันเล่นเอาหนักจนต้องดร็อปเรียนทั้งๆทีเพิ่งเรียนแค่ปีหนึ่ง …..!
ลาออกครับ…คือบทสรุป จากงานที่ทำ และไม่ติดต่อใครเลยทั้งที่บ้านและเพื่อนๆ ผ่านไปเป็นปี แล้วไปสอบเทียบเรียนสายสามัญ ได้เล่นดนตรีเป็นที่ตั้งมุ่งมั่นเก็บเงิน ซื้อคอนโดอยู่ มีแฟนคนแรก แล้วก็เลิกกันตามลำดับ ส่วนคอนโดก็ยกให้เขาไป(ใจดีจัด..)
ย้ายไปใต้ครับเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง…..ยังคงทำงานสนุกสนานด้วยการเล่นดนตรีเป็นอาชีพ ไม่รู้งัยไปคบกับสาวต่างชาติ ดีกรีปริญญาเอกจากอเมริกา จากการแหกเส้นทางชีวิตของเธอ แทนที่จะกลับบ้านเกิดที่ญี่ปุ่น แต่กลับตามเพื่อนมาสมัครงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการโรงแรมสี่ดาวที่นั่นได้ ก็เลยมีโอกาสเจอกัน สนิทสนมกลมเกลียว จนถึงขั้นคนคุ้นเคย
แต่ด้วยความด้อยประสบการ์ณเรื่องเพศตรงข้าม หุนหันพลันแล่นทะเลาะกันเพราะความไม่เข้าใจเกี่ยวพื้นฐานคนต่างชาติและอีกหลายอย่าง ไล่เธอกลับประเทศ ……เธอก็กลับครับส่วนนึงเพราะเธอไม่เข้าใจการทำงานของคนไทยด้วย โดยเฉพาะกับคำว่า ”ไม่เป็นไร” หลังจากเธอกลับบ้านเกิดเธอ ก็ยังโทรข้ามประเทศมาหานะ โทรมาปลุกไปทำงาน แต่ผมก็จำต้องตัดใจจาก เสียใจครับ อกหักพังทลาย
เมากับเพื่อนๆและกลุ่มเพื่อนเธอที่เป็นต่างชาติด้วย จนสนิทกันมากๆ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งวันนึง ผมกลับมานั่งทบทวนว่ามันเพราะอะไร คุยกันเพราะคนละภาษาหรือ?
ผมเรียนน้อยใช่ไม๊ หรือว่าผมพูดอังกฤษไม่เก่ง(อันที่จริงตอนนั้นก็….ใช่แหละ)
แหละนี่คือสาเหตุที่ทำให้กระวีกระวาด ไปสอบเข้ามหาลัยซึ่งอยู่ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม (International class)
หลักสูตรนานาชาติ อ่านหนังสือกันเป็นตั้งภาษาอังกฤษทั้งนั้น และยังเหมือนเดิมครับทำงานด้วย(จะรอดมั้ยเนี่ย....)
ห้องผมเรียนมีต่างชาติเรียนด้วยหลายคนครับ สนุกสนานเฮฮา เริ่มเรียนรู้สังคมต่างชาติวัฒนธรรมไปโดยปริยาย
หลังจากจบมาได้อย่างหวุดหวิดใช้เวลาไปหลายปีครับ ก็ไปทำงานกับบริษัททัวร์ต่างชาติรับรองลูกค้าไม่รับงานประจำเพราะมีงานเล่นดนตรีประจำอยู่แล้ว เจอต่างชาติมากหน้าหลายตา หลายชนชั้น หลายวัฒนธรรม หลายเชื้อชาติ ของจริงๆตัวเป็นๆ ในปี 2001


ผมพูดอังกฤษเก่งขึ้นเยอะ คล่องแคล่ว ชัดเจนขึ้น และได้แฟนเป็นต่างชาติมาอีกคน เธอเป็นคนชาติซามูไรเช่นเดียวกัน
เหตุการณ์ไม่คาดฝัน แม่จริงๆของผม เข้าโรงพยาบาล หมอบอกว่าเป็นมะเร็งอาการโคม่า โอกาสรอดมีน้อยมาก บอกญาติๆให้ทำใจ ….แทบช็อค ทำอะไรไม่ถูก แม่เป็นมะเร็งได้งัย ไม่เห็นมีใครรู้ แถมอาการโคม่าอีก แม่ไม่เคยบอกใครเรื่องที่ท่านเป็นมะเร็ง และไม่ยอมรับการผ่าตัด ทั้งๆที่เราก็มีค่าใช้จ่ายพอสำหรับการรักษา แม่เลือกที่จะไม่ใช้ชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้
ผมลางานเดินทางกลับมา และก็มาช้าไปในที่สุด…..ผมไปถึงโรงพยาบาลนางพยาบาลบอกว่า ตอนนี้ญาติรับศพไปทำตามพิธีกรรมแล้ว ศิริอายุได้วัย 47 ปี และเสียชีวิตในปี 2001 นี่เอง
ผมโดนญาติๆตำหนิ ว่าไม่เอาไหน แม่ตัวเองแท้ๆแต่กลับมาดูใจไม่ทัน (อภัยให้ผมด้วยครับแม่….) ผมแทบไม่มีน้ำตามันตื้อไปหมด เสร็จงานศพแม่ผมเครียดไปหลายเดือน ล้าอย่างบอกไม่ถูก และร่องรอยความโศกเศร้ายังคงอยู่ในใจลึกๆอีกด้านกระทั่งทุกวันนี้


TOP

Read More

Recent Comments-

Recent Posts-

free counters
Code Calendar
: Users Online

Followers







 

Browse