แต่ก็ไม่เคยรู้สึกน้อยอกน้อยใจนะ อาจเป็นเพราะ มียายและตา(ตาเป็นข้าราชการน่ะ )คอยดูแล ไปรับไปส่งตอนไปเรียน
ใส่รองเท้าหนังตลอดเสื้อผ้างี้เนี๊ยบทุกวัน ก็มีเพื่อนร่วมห้องไม่กี่คนที่ใส่แบบนี้รู้สึกว่าดูดีมีชาติตระกูล(แต่ก็อยากใส่รองเท้าผ้าใบนะเพราะเค้าใส่กันเยอะแล้วก็ถูกกว่า ดูเท่ดีด้วย แต่ไม่เคยได้ใส่กะเขาซะที) ผมเรียกท่านทั้งคู่ว่าพ่อกับแม่แทน แต่ก็มารู้เอาตอนหลังว่าท่านไม่ใช่พ่อกับแม่ที่แท้จริงเพราะท่านบอก แต่แม่เราแท้ๆกับเรียกว่า พี่ จำได้ว่า งงๆอยู่ตอนนั้น แต่ก็เฉยๆ (ถึงว่าทำไมเรารู้สึกรักพี่สาวคนนี้ มากกว่าคนอื่น ) มารู้สึกน้อยใจตอนจบ ม.ต้น เพราะที่บ้านเรามีปัญหากันเองเรียกว่าทะเลาะกันทั้งบ้านว่างั้นเถอะ
รู้สึกเสียใจมาก เรื่องเรียนก็ด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าอาจไม่ได้เรียนต่อ(เห้อ...กรรม)
น้องสาวของยายบอกกับยายตอนเราไปเยี่ยมคุณยายทวดตอนปิดเทอม (ซึ่งก็ไปทุกๆปิดเทอมนั่นแหละ) ว่าจะให้เราย้ายมาเรียนที่โรงเรียนใหม่และต้องอยู่กับน้องของยายช่วยดูแลคุณยายทวดด้วย จะเอาไม๊!โดยส่วนตัวน้องสาวยายทำงานราชการแต่ไม่แต่งงานไม่มีลูกชอบส่งเสียหลานๆ แกมีฐานะดีแต่แกก็ไม่ค่อยชอบหลานผู้ชายนักอาจเป็นเพราะเหตุนี้เราจึงตัดสินใจไม่เรียนต่อและก็รู้สึกคิดถึงยายด้วยเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกัน
จากนั้นได้ไปหางานทำและมีโอกาสสอบเข้าเรียนโรงเรียนสายอาชีพจากเงินทุนของตัวเองที่เก็บสะสมได้ตอนทำงาน เหนื่อยมากๆเพราะนอนดึกและต้องไปเรียนตอนเช้าแถมโดนหัวหน้างานโจมตีอีก หาว่ามีเวลาให้กับงานไม่เพียงพอ(โถ....ชีวิตคนจะใฝ่เรียนยังมาเป็นมารอีก)
เอางัยล่ะที่นี้ มันเล่นเอาหนักจนต้องดร็อปเรียนทั้งๆทีเพิ่งเรียนแค่ปีหนึ่ง …..!
ลาออกครับ…คือบทสรุป จากงานที่ทำ และไม่ติดต่อใครเลยทั้งที่บ้านและเพื่อนๆ ผ่านไปเป็นปี แล้วไปสอบเทียบเรียนสายสามัญ ได้เล่นดนตรีเป็นที่ตั้งมุ่งมั่นเก็บเงิน ซื้อคอนโดอยู่ มีแฟนคนแรก แล้วก็เลิกกันตามลำดับ ส่วนคอนโดก็ยกให้เขาไป(ใจดีจัด..)
ย้ายไปใต้ครับเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง…..ยังคงทำงานสนุกสนานด้วยการเล่นดนตรีเป็นอาชีพ ไม่รู้งัยไปคบกับสาวต่างชาติ ดีกรีปริญญาเอกจากอเมริกา จากการแหกเส้นทางชีวิตของเธอ แทนที่จะกลับบ้านเกิดที่ญี่ปุ่น แต่กลับตามเพื่อนมาสมัครงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการโรงแรมสี่ดาวที่นั่นได้ ก็เลยมีโอกาสเจอกัน สนิทสนมกลมเกลียว จนถึงขั้นคนคุ้นเคย
แต่ด้วยความด้อยประสบการ์ณเรื่องเพศตรงข้าม หุนหันพลันแล่นทะเลาะกันเพราะความไม่เข้าใจเกี่ยวพื้นฐานคนต่างชาติและอีกหลายอย่าง ไล่เธอกลับประเทศ ……เธอก็กลับครับส่วนนึงเพราะเธอไม่เข้าใจการทำงานของคนไทยด้วย โดยเฉพาะกับคำว่า ”ไม่เป็นไร” หลังจากเธอกลับบ้านเกิดเธอ ก็ยังโทรข้ามประเทศมาหานะ โทรมาปลุกไปทำงาน แต่ผมก็จำต้องตัดใจจาก เสียใจครับ อกหักพังทลาย
เมากับเพื่อนๆและกลุ่มเพื่อนเธอที่เป็นต่างชาติด้วย จนสนิทกันมากๆ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งวันนึง ผมกลับมานั่งทบทวนว่ามันเพราะอะไร คุยกันเพราะคนละภาษาหรือ?
ผมเรียนน้อยใช่ไม๊ หรือว่าผมพูดอังกฤษไม่เก่ง(อันที่จริงตอนนั้นก็….ใช่แหละ)
แหละนี่คือสาเหตุที่ทำให้กระวีกระวาด ไปสอบเข้ามหาลัยซึ่งอยู่ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม (International class)
หลักสูตรนานาชาติ อ่านหนังสือกันเป็นตั้งภาษาอังกฤษทั้งนั้น และยังเหมือนเดิมครับทำงานด้วย(จะรอดมั้ยเนี่ย....)
ห้องผมเรียนมีต่างชาติเรียนด้วยหลายคนครับ สนุกสนานเฮฮา เริ่มเรียนรู้สังคมต่างชาติวัฒนธรรมไปโดยปริยาย
หลังจากจบมาได้อย่างหวุดหวิดใช้เวลาไปหลายปีครับ ก็ไปทำงานกับบริษัททัวร์ต่างชาติรับรองลูกค้าไม่รับงานประจำเพราะมีงานเล่นดนตรีประจำอยู่แล้ว เจอต่างชาติมากหน้าหลายตา หลายชนชั้น หลายวัฒนธรรม หลายเชื้อชาติ ของจริงๆตัวเป็นๆ ในปี 2001
ผมพูดอังกฤษเก่งขึ้นเยอะ คล่องแคล่ว ชัดเจนขึ้น และได้แฟนเป็นต่างชาติมาอีกคน เธอเป็นคนชาติซามูไรเช่นเดียวกัน
เหตุการณ์ไม่คาดฝัน แม่จริงๆของผม เข้าโรงพยาบาล หมอบอกว่าเป็นมะเร็งอาการโคม่า โอกาสรอดมีน้อยมาก บอกญาติๆให้ทำใจ ….แทบช็อค ทำอะไรไม่ถูก แม่เป็นมะเร็งได้งัย ไม่เห็นมีใครรู้ แถมอาการโคม่าอีก แม่ไม่เคยบอกใครเรื่องที่ท่านเป็นมะเร็ง และไม่ยอมรับการผ่าตัด ทั้งๆที่เราก็มีค่าใช้จ่ายพอสำหรับการรักษา แม่เลือกที่จะไม่ใช้ชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้
ผมลางานเดินทางกลับมา และก็มาช้าไปในที่สุด…..ผมไปถึงโรงพยาบาลนางพยาบาลบอกว่า ตอนนี้ญาติรับศพไปทำตามพิธีกรรมแล้ว ศิริอายุได้วัย 47 ปี และเสียชีวิตในปี 2001 นี่เอง
ผมโดนญาติๆตำหนิ ว่าไม่เอาไหน แม่ตัวเองแท้ๆแต่กลับมาดูใจไม่ทัน (อภัยให้ผมด้วยครับแม่….) ผมแทบไม่มีน้ำตามันตื้อไปหมด เสร็จงานศพแม่ผมเครียดไปหลายเดือน ล้าอย่างบอกไม่ถูก และร่องรอยความโศกเศร้ายังคงอยู่ในใจลึกๆอีกด้านกระทั่งทุกวันนี้
0 comments:
Post a Comment