คืนหนึ่งหลังจากทำงานเสร็จ ก็ประมาณตีหนึ่ง กว่าจะกลับถึงที่พัก อาบน้ำ เตรียมตัวนอน วันนั้นไม่มีแอลกอฮอล์ในร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะตอนเช้ามีธุระต้องออกไปข้างนอกแต่เช้า เปิดแอร์ ใส่ขาสั้นเสื้อกล้าม เอาผ้าห่มคลุมหน้าอกไว้ เพราะกลัวเป็นหวัด
เปิดไฟหัวเตียงหรี่ๆ หลับได้ประมาณชั่วโมงเศษๆ
รู้สึกตัวเพราะเหมือนมีอะไรสากๆคล้ายๆ ลิ้นแมว แต่รู้สึกว่ามันใหญ่กว่า แลบแพลบผ่านสีข้างไปช้าๆ ด้วยความสากนั้น
มันทำให้ขยะแขยง จนต้องลืมตาตื่นขึ้นเพราะอยากรู้ว่ามันอะไร แต่ขณะที่งัวเงียลืมตาขึ้น
……ทันใดนั้นเอง โอ้วว ….พระเจ้า หน้าคนแบบเต็มๆ ลอยเด่น อยู่ห่างจากหน้าผม ประมาณหนึ่งฟุต เห็นจะได้
มันทำให้ผมตาค้างตาเบิกโพรง ตกใจสุดขีด ตัวเกร็งขนลุกซู่ พอเริ่มตั้งสติได้ พยายามสังเกตสิ่งที่ตาเปล่ามองเห็นได้
เพราะแสงไฟจากหัวเตียง ที่หรี่ไว้ เหลือบมองเห็น นาฬิกาที่ติดผนัง ฝั่งตรงข้ามปลายเตียง บอกเวลาว่าตีสามกว่า เช่นเดียวกับหน้าคนนั้นลอยอยู่ด้านหน้าผม ไม่มีผม ไม่มีคิ้ว ไม่มีหู มีตา มีจมูก มีปาก สีหน้าดูเฉยๆไม่โกรธ ไม่ยิ้ม ตรงคอดูเหมือนมีอะไรห้อยย้อยลงไปดูแล้วคล้ายสาหร่ายแต่มองดูไม่ชัดเท่าไหร่
หัวคนนั้นยังคงจ้องมองผมอยู่ไม่ละสายตา ทำไงดีล่ะ.......เหงื่อเริ่มแตกเป็นเม็ดๆ
อากาศเริ่มร้อนทั้งๆที่แอร์ยังเปิดอยู่
หลังจากนั้นผมเริ่มตั้งสติอีกครั้ง คิดในใจว่า นี่เราฝันไปหรือนี่ ลองเช็คร่างกายดู
ชยับบิดแขนค่อยๆด้านขวา โอ้ววว ขยับได้
ขยับบิดแขนด้านซ้ายช้าๆ อึมมมม ขยับได้ ปกติ
ตาผมก็ยังคงจ้องกับหัวคนที่ลอยอยู่ แถมในตาก็ยังจ้องมองผมกลับเช่นกัน
ผมค่อยขยับเช็คดูร่างกายแบบช้าๆ กลัว เกิดอะไรขึ้นมาจะช็อคไปซะก่อน
ต่อไปขยับขวาและซ้ายตามลำดับ ปกตินี่......ทุกอย่างร่างกายผมปกติ
ผมไม่ได้ฝัน ผมไม่ถูกผีอำ นี่มันเรื่องจริงนี่ เอาแล้วงัย.......!!!!!
ผมค่อยๆเลื่อนมือขวาขันไปที่หัวเตียงอย่างช้าๆ เพื่อหมุนดิมเมอร์ ปรับแสงไฟให้สว่างขึ้น
พระเจ้าช่วย……..หัวคนที่เห็นเป็นหัวคนจริงๆ และยังคงลอยอยู่ห่างหน้าผมแค่หนึ่งฟุตเหมือนเดิม
เหงื่อเริ่มแตกมากขึ้นจนซึมไปด้านหลังและที่ศรีษะ รู้สึกขนหัวลุกซู่……..
ผมจะทำไงต่อดี จะสวดมนต์ดี หรือขอพรพระเจ้าดี ทำอะไรไม่ถูก แล้วถ้าสวดมนต์ไอ้เจ้าหัวคนที่ลอยอยู่ข้างหน้านี่จะหายไปมั้ยหล่ะ !!!
นี่ถ้าลูกตามันโปนขึ้นมาแล้วหล่นลงมาที่หน้าอกผม ผมคงช็อคแน่ๆ
เหมือนอะไรสักอย่างทำให้หัวคนที่ลอยอยู่ ค่อยๆลอยห่างออกไปจากหนึ่งฟุตตรงหน้ากลายเป็นสองและสามตามลำดับ
พอห่างออกไปประมาณเมตรนึง ผมค่อยๆยกมือซ้ายขึ้นชี้นิ้วไปที่หัวนั่นอย่างช้าๆ พอเหยียดแขนตึงได้ที่
ผมอ้าปากเพื่อใช้เสียงตัวเองข่มความรู้สึกที่เงียบงันขณะนั้น แล้ว ตะโกนออกไปอย่างสุดเสียงว่า“ มึงมาทำไมเนี่ย “
ผมไม่รู่ว่าทำไมถึงตะโกนแบบนั้นได้ คงเพราะความกลัวสุดขีดแล้วทำอะไรไม่ถูก แขนยังคงชี้ขึ้นทำมุม 45 องศา กับลำตัวที่ยังคงนอนราบกับที่นอน ในขณะที่ หัวคนนั้น ค่อยๆลอยไปติดผนัง แล้วเลือนหายไปช้าๆ
ผมค่อยๆเอาแขนของผมที่ชี้เมื่อครู่ ลงช้าๆแล้วยันตัวเองลุกขึ้นั่งช้าๆ บนที่นอน หันกลับไปมองดูนาฬิกาประมาณ ตีสามครึ่ง แสดงว่าช่วงเวลาขณะนั้นกินเวลาสิบห้าถึงยี่สิบนาที
ลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟให้สว่างทั้งห้อง แล้วนั่งลงคิด
ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ตุบๆชัดมาก
เอ๊ะ…..นี่ใช่มั้ยที่เค้าเรียกว่า ผีหลอก
ของจริงๆ เห็นแบบเต็มๆ
เราไม่ได้ฝันไปนี่ จากตอนที่รู้สึกตัว จนลุกขึ้นมานั่งตอนนี้
ครุ่นคิดอยู่จนเช้า โทรเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกว่า อาจเป็น “สัมพเวสี” อะไรทำนองนั้นซึ่งเราไม่รู้จักว่าคืออะไร
บางคนว่า ลองดูอีกวันดูสิว่าจะเจออีกมั้ย
ไม่ได้ลองของครับ แต่อยากรู้ว่าสิ่งที่เห็นนั่นมันคืออะไรกันแน่ คืนต่อมาลองดูอีกใช้เวลาเหมือนเดืม ลองทำแบบคืนที่ผ่านมา…………แต่………..ไม่เจอครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
แล้วคุณล่ะเคยเห็นอะไรแบบนี้หรือยัง?
0 comments:
Post a Comment