**เรื่องจากประสพการณ์ของเจ้าของบล็อคนี้,มุมมอง,บทความที่ชอบ,นิยาม,ปรัชญาซึ่งนำมาเพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ตัวเอง**
บางบทความมีลิขสิทธิ๋
ระหว่าง...ความแตกต่าง
คนที่ใช่ - อยู่เคียงข้างเราเสมอ
คนที่ชอบ - อยู่เคียงข้างเราเมื่อมีเวลา
คนที่ใช่ - ให้เราได้ในทุก ๆ สิ่ง
คนที่ชอบ - ให้เราได้แค่บางสิ่ง
คนที่ใช่ - บอกเราเสมอว่า คิดถึง
คนที่ชอบ - พูดคำว่า คิด..แต่นานๆจะมี ถึง...
คนที่ใช่ - โทรหาเราเป็นประจำทุกวัน
คนที่ชอบ - นาน ๆ ถึงจะโทรมาสักที
คนที่ใช่ - เราไม่สบายรีบพาไปหาหมอ
คนที่ชอบ - ก็รู้นะว่าไม่สบาย รีบกินยาละกัน
คนที่ใช่ - ไปไหนก็เป็นห่วงเราเสมอ
คนที่ชอบ - ไปไหนดูแลตัวเองด้วยนะ
คนที่ใช่ - มองตาก็รู้แล้วว่าคิดอะไร
คนที่ชอบ - มองตาก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้างว่าคิดอะไร
คนที่ใช่ - กินข้าวด้วยกันประจำ
คนที่ชอบ - นาน ๆ ที ถึงกินข้าวด้วยกัน
คนที่ใช่ - พาไปเดินห้าง ชอปปิ้ง
คนที่ชอบ - ไม่เดินห้าง ไม่ชอบเพราะคนมันเยอะ!
คนที่ใช่ - ไปดูหนังที่อยากดูด้วยกัน
คนที่ชอบ - ใครดูเรื่องไรแล้วค่อยมาเล่าให้ฟัง
คนที่ใช่ - ไม่เคยลืมวันเกิดเราเลยสักปี
คนที่ชอบ - จำได้เป็นบางปี
คนที่ใช่ - ซื้อของราคาเป็นหมื่นให้
คนที่ชอบ - ไม่ได้ซื้อให้ แต่ทำให้แทน
คนที่ใช่ - อยากได้อะไรบอก ซื้อให้หมด
คนที่ชอบ - ไม่ต้องขอ อยากให้ เดี๋ยวให้เอง
คนที่ใช่ - ขับรถมาหาเราทุกวันได้
คนที่ชอบ - ขับรถมาหาเราได้แค่บางครั้ง
คนที่ใช่ - อยากไปไหนบอก เดี๋ยวพาไป
คนที่ชอบ - อยากไปไหนไม่ต้องบอก เดี๋ยวพาไปเอง
คนที่ใช่ - รอเราอาบน้ำ แต่งตัวได้เป็นชั่วโมง
คนที่ชอบ - ให้เวลาอาบน้ำ แต่งตัว แค่ 15 นาที!
คนที่ใช่ - ส่งเราเข้านอนก่อน แล้วตัวเองค่อยไป
คนที่ชอบ - นอนก่อนนะ วันนี้ไม่ไหว..ง่วง!!
คนที่ใช่ - จะทำอะไร เรารู้หมดทุกอย่าง
คนที่ชอบ - ทำไรอะไร ที่ไหน เรารู้บ้างไม่รู้บ้าง
คนที่ใช่ - เดินเคียงข้าง ไม่ก็เดินตามหลัง
คนที่ชอบ - เดินเคียงข้าง ไม่ก็เดินนำหน้า
คนที่ใช่ - ข้ามถนนรีบจับมือเราก่อนทันที
คนที่ชอบ - ต่างคนต่างข้าม แค่ระวังหลังให้
คนที่ใช่ - อยากเจอเมื่อไหร่รีบมาทันที
คนที่ชอบ - อยากเจอหรอ รอว่างก่อนนะ
คนที่ใช่ - ไปเที่ยวไหนซื้อขนมมาฝากเสมอ
คนที่ชอบ - ไปเที่ยวไหนก็มีแต่ รูปถ่ายมาให้ดู
TOP
Read More
ลองดูกันเอาเองครับ.....
เลข 1
แสดงถึงความเด็ดเดี่ยว กล้าทำ กล้าแสดงออก เป็นผู้นำในหน้าที่การงานอยู่ ในจำพวกแนวหน้า และบางครั้งถูกคนอื่นมาขอความช่วยเหลือทั้งทรัพย์สินเงินทอง และคำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควรแต่หากไม่พอใจใครแล้ว เขาจะไม่สนใจเลยเด็ดขาด เป็นจำพวกหยิ่งในศักดิ์ศรี ฆ่าได้ หยามไ ม่ได้ ไม่ยอมก้มหัวเพื่อลดศักดิ์ศรีให้ใคร หากจำเป็นจริง ๆ ยอมให้ได้เพียงกายเท่านั้น จะมีนิสัยละเอียดอ่อนในเรื่องความรักหมดเปลืองเท่าไหร่ก็ยอมเพื่อความรัก ในอนาคตหากเป็นนักธุรกิจจะประสบความสำเร็จและสามารถทำงานได้ดีทุกแขนง
เลข 2
แสดงถึงความสำเร็จ ความอบอุ่นจากมิตร-บริวาร แต่บางครั้งไม่ค่อยมีความเด็ดขาดไปบ้าง เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คนเดียว หากจะลงทุนทำธุรกิจถ้าได้ร่วมทำกับคนอื่นจะดีกว่าทำคนเดียวจะมีเสน่ห์กับเพศตรงข้าม เป็นที่รักใคร่ของเหล่าเพื่อนฝูง แต่บางครั้งจะโดนอิจฉาอยู่บ่อย ๆ เพราะเสน่ห์ดีเกินไป ตามเลขศาสตร์บ่งบอกว่า หากจะให้ทำงานสำเร็จโด่งดังมีชื่อเสียง จะต้องทำงานร่วมกับคู่ครองตนเอง วัยกลางคนจะได้มีความสุขกับครอบครัวฐานะดีมีความสบายตามลำดับ
เลข 3
แสดงถึงความทุกข์ใจ จะมีปัญหาเรื่องต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตอยู่เรื่อยๆ หากจิตใจไม่เข้มแข็งจะทำให้ทุกข์ใจไม่สบายกายอยู่เรื่อยไป และจะต้องเพิ่มการเอาใจใส่คู่ครองและครอบครัวให้มากกว่าเดิม ระวังจะมีปัญหากับบุคคลที่ 3 เข้ามาสร้างความแตกแยกในครอบครัว หมายเลข 3 นี้ เป็นเลขแห่งเงารัก เงาร้าง ถ้าจะลงทุนทำธุรกิจไม่ควรที่จะร่วมหุ้นหรือไว้ใจบริวารให้มากนัก อย่าเป็นนักบุญให้ผู้อื่นจนเกิดเป็นความทุกข์ให้กับตนเอง และหากช่วยเหลือใครแล้วจะหวังผลคืนได้ยาก เพรา ะหมายเลข 3 เป็นเลขของผู้ให้ๆอย่างเดียว แต่เมื่อผ่านปัญหาทั้งปวงไปแล้วอีกไม่นาน จะมีความสุขความสบายกับครอบครัว
เลข 4
แสดงถึงเลขแห่งจักรพรรดิ์ จะมีคนคอยเป็นห่วง จะเป็นที่รักใคร่ของผู้สูงอายุแต่จะมีความเหน็ดเหนื่อยมากอยู่เหมือนกัน เพราะ คำว่า 'แม่ทัพ' ก็รู้ความหมายอยู่แ ล้ว ไม่มีแม่ทัพคนใดไม่มีผลงานแล้วจะได้เป็นแม่ทัพหรอกน่ะ แต่หมายเลข 4 เป็นเลขแห่งความสำเร็จ ความยิ่งใหญ่ ความก้าวหน้า ความท้าทาย หากจะให้มีความเจริญก้าวหน้าเร็วๆ ก็ต้องกล้าทำกล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ แต่ระวังจะมีเพศตรงข้ามหลงรัก และเข้ามาขอสวามิภักดิ์ด้วยและไม่ต้องเป็นห่วงจะทำอะไรก็จะมีคนคอยสรรเสริญเยินยอ แต่ก่อนที่จะมีการเยินยอก็จะมีการติฉินนินทาก่อน หากอดทนไม่สนใจไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นได้ละก็ ชีวิตนี้รวยใจสบายกายอย่างแน่นอน
เลข 5
แสดงถึงเลขแห่งเวทมนต์และเสน่ห์หากับเพศทั่วไป มีความหยิ่งทะนงในตัวเอง ยอมก้มหัวให้ผู้อื่นได้แค่กายแต่ใจนั้น ไม่ยอมใคร เป็นที่ปรึกษาผู้อื่นได้ดีแต่ตนเองยามเดือดร้อน หาใครช่วยปรึกษาด้วยนั้นช่างยากมาก เพราะหมายเลข 5 จะมีความสบายกาย แต่ทุกข์ใจอยู่เรื่อยเพราะคิดมากจนเกินเหตุ และจะเป็นที่รักใคร่ของญาติมิตรหากดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเอกสารจะประสบความสำเร็จดีมีชื่อเสียง แต่ไม่ว่างานด้านไหนๆ หมายเลข 5 ทำได้หมด แต่จะต้องมีเวลาให้กับเรื่องส่วนตัวบ้าง เช่น เรื่องความรัก อย่าปล่อยให้นานเกินไป จะได้พึ่งพาอาศัยบุตร-บริวารในภายภาคหน้าจะมีความพอดีกับชีวิต เกิดความสุขตลอดกาล
เลข 6
แสดงถึงคนที่มีดีอยู่ในตัวแต่ไม่ค่อยยอมนำออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่าปล่อยเวลากับความคิดให้มากนัก หมายเลข 6 เสน่ห์อยู่ที่ 'เงา' ของตนเอง จะมีคนรักใคร่เอ็นดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ต้องแต่งตัวให ้เกิดจุดเด่นแก่ตนเอง และมีจิตสัมผัสเหนือธรรมชาติ หากได้นั่งสมาธิบำเพ็ญศีลจะมีบารมีสูง ผู้คนจะรักใคร่เอ็นดู จะทำอะไรก็ล้วนแต่ประสบความสำเร็จดีทั้งสิ้น หมายเลข 6 ต้องลดโทนเสียงลงอีกเพราะโทนเสียงนั้นบ่งบอกถึงอำนาจ ความยิ่งใหญ่เกินตัว ไม่เพราะแก่ผู้ได้ยิน ผู้ใหญ่รักใคร่เอ็นดู สนับสนุนในด้านการงาน เมื่อเกิดปัญหาใดๆ ตนเองมักจะเอาตัวรอดได้เสมอ จะมี ความสุขในบั้นปลาย
เลข 7
อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปกับคนอื่นให้มากนักและอย่ายึดติดอยู่กับที่ เพราะหมายเลข 7 เป็นหมายเลขที่ต้องเดินทางเพื่อทำการค้า เป็นไกด์ หรือทำงานที่ต้องมีการเจรจาอยู่ตลอดเวลาจะทำให้ประสบความสำเร็จ ระวังจะมีปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เกิดขึ้นในครอบครัว หรือเรื่องรัก 3 เส้าเกิดขึ้นในชีวิตคู่ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณ ก็ไม่ต้องวิตกให้มากนัก เพราะทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี การเงินถึงจะไม่คล่องบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะหมายเ ลข 7 เป็นเลขที่ส่งลาภผลอยู่เนืองๆ หากผู้ใดที่ได้หมายเลข 7 และก็ยอมเหนื่อยหน่อยในระยะเริ่มต้น และอีกไม่นานจะมีความสุขโชคลาภเพิ่มพูน และจะได้รับความสุขกับ มิตร-บริวาร
เลข 8
แสดงถึงคนมีบุญบารมี และวาสนาดีมีชื่อเสียงให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์แต่ต้องหมั่นเรียนรู้เร่งศึกษาอย่าอยู่นิ่ง กล้าเปิดเผย กล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ รีบไขว่คว้าแล้ว หน้าที่การงานที่ทำจะได้ผลดีเป็นที่พอใจ และผู้ใหญ่จะให้ความช่วยเหลือ อย่าหลงใหลมัวเมาในกิเลสตัณหาให้มากนักอย่าสนุกจนลืมครอบครัวแล้วบั้นปลายชีวิตจะมีฐานะดีเป็นที่พอใจของวงศ์ตระกูลมีชื่อเสียงเป็นที่นับถือของคนทั่วไป
เลข 9
แสดงถึงอำนาจ ความยิ่งใหญ่ หากเป็นผู้นำจะเจริญก้าวหน้า ทำงานด้วยสมองเป็นนักพูด หรือนักบรรยายจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่หน้าที่ ที่เหมาะคือผู้เผยแพร่ศาสนา จะมีผู้คนยกย่องสรรเสริญแ ละยังมีจิตสัมผัสเหนือคนทั่วไป บางครั้งสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ใครได้หมายเลข 9 จะเป็นผู้อยู่เหนือลิขิตสวรรค์จะทำอะไรก็สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง
แท้จริงเช่นใดคุณคงรู้ด้วยตัวเอง.........หากแต่มีสติใช้วิจารณญาณในการอ่านสักหน่อยครับ
ส่วนของผมนั้นมัน ก็ใกล้เคียงนะ
TOP
Read More
หลังจากเสร็จงานอีเว้นท์ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในภูเก็ตแล้ว ก็หาโอกาสช่วงวันว่างได้ เลยอยากอยู่เที่ยวต่อก่อนกลับกรุงเทพ และเพื่อนเค้าแนะนำว่าไปเที่ยว “เกาะ พีพี งัยเคยไปหรือยัง! “ ส่วนผมไม่เคยไปซักที ก็เลยตอบตกลง และได้ตั๋วแพ็คเก็จ ราคาพิเศษด้วยครับ
การเดินทางโดยนั่งเรือจากภูเก็ต ไปประมาณสองชั่วโมงครับ ถึงเกาะพีพี เขตจังหวัดกระบี่ หาดที่นี่ก็ ขาว สวย สมคำล่ำลือแหล่ะ
หลังจากพักประมาณครึ่งชั่วโมง ก็จะออกไปดำน้ำด้วย สน็อคเกิ้ล ครับ ดูปลา ให้อาหารปลา แล้วก็ ดูปะการังกัน แล้วค่อยกลับขึ้นมาทานอาหารเที่ยง พักผ่อนอีกเล็กน้อยแล้วค่อยกลับเข้าฝั่งภูเก็ต นั่นคือโปรแกรมการทัวร์คร่าวๆ
…..ห่างจากชายฝั่งออกไปประมาณหนึ่งกิโลเห็นจะได้ เราต้องสวมเสื้อชูชีพด้วย และมีเค้ามีแว่นดำน้ำให้ หากใครว่ายน้ำเก่ง ก็ไม่ต้องใส่อุปกรณ์ชูชีพ แต่ต้องระวังด้วยเพราะอาจเกิดอันตรายได้หากประมาท จากคำแนะนำของผู้นำคณะทัวร์ แรกๆผมก็ใส่แหละ แต่ตอนหลังก็ถอดออกเพราะไม่คล่องตัวเวลาดำลงไปดูปะการัง
แล้วเค้าก็โยนอาหารปลาลงมา เสมือนเรียกร้องให้เหล่าปลาสวยงามเหล่านั้น รวมตัวกัน ผลัดกันโชว์ความงดงามและสีสันบนตัวของพวกมมันสลับกับการแทะเล็มเศษอาหารปลาที่ลอยอยู่
ผมอยู่ในน้ำแลัวครับ มองเห็นได้ชัดเจนมากๆ เหล่าฝูงปลาทะเล สีสันสวยงาม ผลัดกันว่ายรอบๆผ่านลำตัวของผมอย่งใกล้ชิด ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ พวกมันคุ้นกับคนมาก ไม่ตื่นตกใจเลย ก็วันๆคงมีคณะทัวร์แวะมาทักทายพวกมัน บ่อยๆแหละครับมันเลยชินมั้ง
หลังจากนั้นก็ดำน้ำดูปะการังด่านล่าง ความลึกน่าจะประมาณ 3-5 เมตรได้ดำลงไปก็ปวดหูนิดๆแหละ
แต่ด้วยความสวยของปะการังมองดูเป็นแถวบ้าง เป็นก้อนบ้าง มันช่างเป็นโลกใต้น้ำที่น่าดูทีเดียว
ผมรู้สึกไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงหลงใหลธรรมชาติโลกใต้น้ำของเมืองไทยและชอบที่จะมาท่องเที่ยวชม ปะการัง บ้าง ดำน้ำ บ้าง อยู่บ่อยๆ
เพราะไม่ว่าจะเป็นเหล่าฝูงปลาทะเลสีสัน เหล่าปะการังที่เรียงรายอยู่ใต้น้ำคือสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า และเป็นคำตอบที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
TOP
Read More
ก็อยากเล่าบรรยากาศที่เคยไปมาแหละครับช่วงปีใหม่ 2010
จริงแล้วเมืองไทยมีสถานที่น่าดูน่าเที่ยวเยอะ แต่หลายคนก็ไม่มีโอกาสเห็น
และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ใกล้กรุงเทพมาก เดินทางโดยรถยนต์ไม่กี่ร้อยกิโล ถึงพัทยา แล้วนั่งเรือต่อไปอีก 45 นาทีจะถึงซึ่งจุดหมายนั่นคือ เกาะล้าน
ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวชาวไทยก็จะลงที่หาดตาแหวนกัน ส่วนผมก็ติดสไตล์ต่างชาติจึงไปลงที่หาดแสม ที่นี่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเยอะมากและผมเชื่อว่าหาดไหนก็ตามที่ต่างชาตินิยมมา นั่นแหละเจ๋ง (ที่จริงแล้วหาดไหนๆเมืองไทยก็สวยหมดแหละ.....) ครับหาดสวยมาก ไม่โดนทำลายธรรมชาติไปมากนัก แต่พวกสัมปะทานให้เช่าเตียงผ้าใบนี่แหละทำบรรยากาศเสียหมด เนื่องจากผูกมัดลูกค้ามากเกิน ต้องนั่งตรงนี้….. ต้องสั่งอาหารร้านฉันนะ ….. อย่าไปนั่งร้านนั้นนะ...
เห้อ…. คนไทยด้วยกันแท้ๆ
มาว่ากันต่อ…..
เป็นครั้งแรกของผมสำหรับที่นี่ ไม่น่าเชื่อครับว่า หาดทรายจะสวย และน้ำก็ยังใสมาก ผิดกับชายหาดพัทยาหรือบางแสนนั่น อย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลย ผมนำแว่นว่ายน้ำไปด้วย ได้ใช้เลยแหละ สามารถดำดูปลาตัวเล็กที่อยู่ตามปะการัง หรือตามโขดหินเล็กๆตามชายหาดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งปกติจะไม่ค่อยเห็นนะ ปลาพวกเนี้ย ใกลักันมีจุดชมวิวอยู่บนเนินขึ้นไปห่างไปประมาณร้อยเมตร มองลงมาแล้วสูดอากาศชายทะเลแล้ว .....อืมมมม สดชื่นจริงๆและไม่ผิดหวังเลยครับ สำหรับเกาะล้าน ไว้คราวหน้าจะไปค้างคืนซะหน่อย และหากใครต้องการพักผ่อนแบบนี้ เดินบนหาดทรายขาว ดูทะเลสวย น้ำใส ละก็อย่าพลาดครับ ที่นี่ เกาะล้าน
TOP
Read More
ผมมีโอกาสไปเที่ยวเกาะเสม็ด นานมาแล้ว บรรยากาศดีเอามากๆ ผมพักที่หาด วงเดือน ที่ วงเดือนรีสอร์ทครับอยู่สุดหาดเลย
โดยรอบก็เป็นบังกะโลทาสีขาวทุกหลัง ราคาต่อคืนไม่แพงครับ เงีบบ สงบ เหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง ชาวต่างชาติมีประปราย จะเป็นประเภท มาพักผ่อนจริงๆ บ้างก็อาบแดด ทำนองนั้น
และได้รู้จักครอบครัวนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอาจารย์สอนภาษาในต่างประเทศ เราได้คุยและแลกเปลี่ยนทัศนะคติกัน พวกเค้าบอกว่า รักเมืองไทย และเกาะเสม็ดมาก แต่เนื่องด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้นสูงมากจึงไม่มีโอกาสได้มาบ่อยๆ
สำหรับหาดก็สวย น้ำก็ใส วิวดีมากๆ เวลาตอนเย็ยๆมานั่งที่ระเบียงเรียบหาดของทางที่พัก มองดูทะเล และมีเสียงคลื่นเป็นแบล็คกราวด์ ผสมผสานกับเสียง โมบายรูปหอยที่ห้อยอยู่ เสียงกระทบกันดัง กุ๊งกิ๊งๆ ยังไม่พอ ทางเค้าท์เตอร์ รับรองลูกค้าใกล้ เปิดเพลง แสตนด์ดาร์ด แจ๊ส เบาๆ หรือไม่ก็ออกแนว บลาซิลเลี่ยน ลองนึกดูครับ ช่างเป็นบรรยากาศ ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
มองออกไปที่ทะเล เห็นดวงอาทิตย์กำลังตกน้ำ ฉายแสงสีส้มสะท้อนกลับมา โอ้ววว ….
หากอยากจะครื้นเครง ก็ต้องเดินย้อนจากที่พักมาหน่อยจะมี ร้านอาหารซีฟู้ด อยู่ พร้อมโต๊ะนั่งสีเหลี่ยม ที่ยกระดับลอยขึ้น จากพื้นทรายเพราะ กันเวลาน้ำขึ้น ก็นั้งได้ประมาณสี่คน พร้อมหมอนอิง ตรงกลางโต๊ะประดับด้วย ดอกกล้วยไม้สองสามดอกอยู่ข้างๆ ตะเกียงเทียนเล็กๆ คลุกเคล้าเสียงเพลงสากลทั้งเก่าและใหม่ เหมะสำหรับการเจริญอาหารเป็นอย่างยิ่ง
ตอนกลางวันก็เช่ามอเตอร์ไซด์ ขับเที่ยวดูรอบๆเกาะ ผ่านถนนลูกลัง อีกทั้งมีเนินทั้งสูงทั้งชัน และฝุ่น เพราะทางเป็นดินลูกลัง รู้สึกเหมือน ”จังเกิ้ลทัวร์” ยังไงยังงั้นเลย ขับไปถึงบริเวณอ่าวลุงดำครับ ส่วนนึงเป็นเนื้อที่ของรีสอร์ท ส่วนบุลคลแต่สามารถเดินผ่านเข้าไปได้ ถึงอีกด้านที่เป็นหาดมี ผลงานศิลปกรรมชิ้นเยี่ยมฝีมือธรรมชาติ ชิ้นเอกด้วยการตกตะกอนของชั้นหินที่ทับถมกันเป็นเวลานานมากๆ ดูแล้วสวยงามจริงๆ
ถัดมาใกล้ๆเป็นสะพานไม้ ถูกสร้างขั้นมาวางบนทุ่นถังน้ำมัน นอนเหยีดยาวไปในทะเลราวๆสัก สองร้อยเมตรเห็นจะได้ เค้ามีไว้ให้ดูปลาและให้อาหารมันครับ เพราะน้ำใสมาก มองลงไปเห็นฝูงปลาตัวเล็กจำนวนมาก ได้อย่างชัดเจน และที่สำคัญก็คือ เวลาเดินไปบนสะพานนั้น หากมองลงไปในน้ำด้านข้างจะเห็นเหล่าฝูงปลา ว่านน้ำตามเราเป็นขบวน แม้เราเดินย้อยกลับ พวกมันก็จะว่ายย้อยกลับด้วยเช่นกัน พวกมันคงรอให้เราให้อาหารมันหล่ะครับ ดูไปแล้วมันช่างเป็นความงดงามตามธรรมชาติซะจริงๆ ไม่ต้องแต่งแต้มอะไรให้ยุ่งยากเลยแม้แต่น้อย
กลับมาช่วงบ่าย ที่หาดวงเดือน นั่งเล่นน้ำชายหาดตื้นๆ นั้นเอง ขณะที่หันหน้าสำรวจบรรยากาศโดยรอบด้านใกล้ๆที่พักและหันหลังให้ทะเล คลื่นลูกขนาดพอเหมาะ ซัดเข้ามาหาผม อย่างไม่ทันตั้งตัว ซดเอาน้ำทะเลเข้ากระเพาะเต็มๆไปหลายอึกเลย ก็น้ำบริเวณชายหาดนั่นแหละ ไม่รู้เศษตะกอนบ้าง อะไรบ้าง เข้าไปในปากเต็มๆ อิ่มไปเลย
กลับจากเสม็ด ผมไอค๊อกไอแค๊กไปหลายวัน เวลาไปไหนมาไหน เกรงใจคนรอบข้างๆ กลัวเค้าคิดว่าเป็นโรคร้ายหรือเปล่า มันระคายคอเป็นอย่างมาก ต้องใช้ยาแก้อักเสบและลูกอมฆ่าเชื้อในลำคออยู่เป็นสัปดาห์ กว่าจะหาย…..เห้อ… เวรจริงๆ…..
TOP
Read More
หลายครั้งที่ผมแวะเข้าเยี่ยมชม ไซต์ต่างๆในอินเทอร์เน็ต เห็นหลายๆคน โพสต์กระทู้ บ้าง ชื่อผู้ใช้บ้าง( user name)
และเห็นหลายคนก็ ตั้งชื่อผู้ใช้เวลาล็อคอินเวปไซต์ต่างๆด้วยชื่อภาษาญี่ปุ่นซึ่ง อาจดู เท่ห์ ดูน่ารัก แต่หารู้ไม่ว่ามีการผิดพลาดด้วยการสะกดคำ ก็เลยนำมาบอกเล่า เผื่อใครอยากใช้จะได้ไม่เขียนผิดกันนะ หุหุ
ภาษาญี่ปุ่นนั้นแยกเป็น อักษรเป็น ฮิราคะคะ คาตาคะนะ และ คันจิ
แต่ในส่วนของ โรมันจิ(Romanji) นั้นใช้ แทนการนออกเสียงของคำในภาษาญี่ปุ่นด้วย ตัวอักษร ภาษาอังกฤษ ซึ่งรากฐานมาจากอักษรโรมัน ใช้งานกับคีย์บอร์ดภาษาญี่ปุ่นและการส่งข้อความผ่านมือถือ เค้ามีโรมันจิไว้สำหรับต่างชาติที่ต้องการเรียนภาษาญี่ปุ่น เช่นเดียวกันกับในภาษาไทยที่หลายคนชอบเรียกว่า ภาษา คาราโอเกะ นั่นแหละ ซึ่งจริงแล้วเค้าเรียกว่า ไทยนิซ (thainize)
คำที่มักพบว่าสะกดผิดบ่อยๆก็คือคำว่า
จัง เช่น เนโกะจัง หลายคนจะเขียนว่า Nekojung ซึ่งจริงๆแล้วต้องเขียนว่า Nekochan = ねこちゃん。
คำลงท้ายว่า จัง ต่อจากชื่อ หมายถึงเด็กผู้หญิง หรือ เด็กที่เรียบร้อย ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า เป็นคำลักษณะนาม
คุง เช่น โคทาโระคุง หลายคนจะเขียนว่า kotarokung ซึ่งจริงๆแล้วต้องเขียนว่า kotarokun = こたろくん。
คำลงท้ายว่า คุง ต่อจากชื่อ หมายถึงเด็กผู้ชาย หรือ เด็กที่เรียบร้อย ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า เป็นคำลักษณะนาม
คาวาอิ แปลว่าน่ารัก หลายคนจะเขียนว่า cawa i ซึ่งจริงๆแล้วต้องเขียนว่า kawaii = かわいい。
ซึโกอิ แปลว่า ยอดเยี่ยม ไม่ได้อ่านว่า สุโค่ย เชียนว่า tsugoi = つごい。
ซึซึกิ เป็นชื่อคน ไม่ได่อ่านว่า ซูซูกิ เขียนว่า suzuki = すずき。
และคำแนะนำคือ โทโมะชิมัสซึ ( tomoshimasu =ともします ) เวลาจะอ่านต้องอ่านว่า โทโมะชิมัส เป็นคำสุภาพมากกว่า กริยา เดสซึ ( desu =です) และ ฮาจิมัมัชชิเทะ (hajimemashite = はじめまして) ใช้ขยายความต่อจากชื่อตัวเอง เวลาพูดกับบุคคลที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก หรือการแนะนำตัวเอง และการพูดโทรศัพท์
ตัวอย่าง
ชื่อตัวเอง.....ตามด้วย... です、はじめまして どうぞよろしく。
เปลี่ยนเป็น
ชื่อตัวเอง.....ตามด้วย... ともします、どうぞよろしく。
ปล.จากประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่น
つつぐ。
TOP
Read More
"ขออนุญาติยกเอาตัวอย่าง กฏหมายว่าด้วยการหมิ่นประมาท"
การหมิ่นประมาทและการดูหมิ่น
(ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)
มาตรา 423 ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืน ต่อความจริงเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น ก็ดีหรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดย ประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อ ความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อ ความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้
(วรรค2)
ผู้ใดส่งข่าวสาส์นอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเอง หรือผู้รับข่าวสาส์นนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่า เพียงที่ส่งข่าวสาส์นเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม ทดแทนไม่
แยกองค์ประกอบได้คือ
1. ผู้ใด(คนทำหมิ่นประมาท)
2. กล่าวหรือไขข่าว(ก้อคือพูดดูหมิ่นไม่ว่าจะทางใด)
3. ฝ่าฝืนต่อความจริง (คือโกหกนั่นเอง)
4. เป็นความเสียหาย
ครบองค์ประกอบ จะมีความผิด ในฐานหมิ่นประมาท
(ตามประมวลกฎหมายอาญา)
มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะ ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำ
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 327 ผู้ใดใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่สามและการใส่ความนั้น น่าจะเป็นเหตุให้ บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษดังบัญญัติไว้ใน มาตรา 326 นั้น
มาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
มาตรา 329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต
(1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับ
ตนตามคลองธรรม
(2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
(3) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัย ของประชาชนย่อมกระทำ หรือ
(4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม เรื่องการดำเนินการอันเปิด เผยในศาลหรือในการประชุม
ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
มาตรา 330 ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้อง รับโทษ
แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
มาตรา 331 คู่ความ หรือทนายความของคู่ความ ซึ่งแสดงความคิด เห็น หรือข้อความในกระบวนพิจารณาคดีในศาล เพื่อประโยชน์แก่คดี ของตน ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
มาตรา 332 ในคดีหมิ่นประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความ ผิด ศาลอาจสั่ง
(1) ให้ยึด และทำลายวัตถุหรือส่วนของวัตถุที่มีข้อความหมิ่น
ประมาท
(2) ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด หรือแต่บางส่วนในหนังสือ พิมพ์หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับครั้งเดียวหรือหลายครั้งโดยให้จำเลย เป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
มาตรา 333 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
ถ้าผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดามารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ ถือว่าเป็นผู้เสียหาย
มาตรา 393 ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณาต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
ที่มา http://www.pantown.com/board.php?id=13786&area=4&name=board2&topic=54&action=view
ระวังอาจเป็นคุณ.....
การหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต คืออะไร (เห็นเป็นประโยชน์วันนี้เอาฝากอีกแล้วครับ)
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด ครับ
มาดูว่าการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต คืออะไร ก่อนที่จะพิจารณาถึงเรื่องนี้ควรจะพิจารณาก่อนว่า หมิ่นประมาทนั้น มีลักษณะการกระทำอย่างไร หมิ่นประมาทคือ การใส่ความผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ เช่น พูด เขียน พิมพ์ข้อความ หรือแสดงกริยาต่างๆ โดยการใส่ความดังกล่าวนั้น ต้องเป็นการกระทำให้บุคคลที่สามรับทราบ ซึ่งเป็นการกระทำให้ผู้ถูกใส่ความนั้น ได้รับความเสียหาย ดังนั้น ผู้กระทำการหมิ่นประมาท จะมีความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา กล่าวคือ การหมิ่นประมาทนั้น ผู้กระทำผิดจะมีความหมายทางแพ่ง ฐานละเมิดตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ ผู้กระทำได้กล่าว หรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความที่ขัดต่อความเป็นจริง เป็นผลให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ นอกจากนี้การหมิ่นประมาท ยังถูกบัญญัติให้เป็นความผิดหนึ่ง ในประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งลักษณะการกระทำคือ ผู้กระทำความผิดได้ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง การพิจารณาข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาทในทางอาญานั้น อาจเป็นความจริง หรือเท็จก็ได้ดังที่เคยมีคำกล่าวว่า "ยิ่งจริงยิ่งผิด" เพราะกฏหมาย มุ่งพิจารณาแต่เพียงว่าถ้ามีการกล่าวถึงบุคคลอื่น ในด้านที่ไม่ดีแล้ว ย่อมจะทำให้สังคมไม่สงบสุข ไม่ว่าข้อความนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ ความรับผิดทางอาญา และทางแพ่งมีข้อแตกต่าง ประการสำคัญทีสุด คือ หากข้อความที่กล่าวเป็นเรื่องเท็จ ผู้กระทำจะมีความผิดทางอาญา และต้องชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง แต่ถ้าข้อความที่กล่าวเป็นจริง ผู้กระทำจะมีความผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง กรณีความผิดทางอาญา ในการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต จะมีความผิดตามมาตรา 326 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมื่น หรือ ถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ"
ที่มา http://www.siamfishing.com/content/view.php?id=1939&cat=article
ปล.ทั้งหมดนี้อยากให้เข้าใจว่ามิได้มีเจตนาชี้นำหรือทำร้ายใครทั้งสิ้น ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นในมุมกว้าง หากแต่พึงระวังไว้ว่า อย่าพลั้งเผลอไปหมิ่นประมาทใครเข้า ไม่ว่าจริงหรือเท็จ หากผู้เสียหายเอาผิดขึ้นมา ก็อาจเลี่ยงไม่ได้ จึงอยากให้คิดก่อนสักนิด เพื่อเสถียรภาพของตนเองมิใช่ใครอื่น จึงแบ่งปันมาเพื่อทราบ ด้วยความปารถนาดีกับทุกท่านครับ
TOP
Read More
"ขออนุญาติยกเอามาเป็นตัวอย่าง"
________________________________________
หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า "กฎหมายว่าด้วยการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต"
เริ่มหัวข้อโดย: radompon ที่ พฤศจิกายน 18, 2008, 12:35:01 AM
________________________________________
หมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต
[ 2008-04-11 10:36:02 ] Add to Favorite Categories : Social
บทความนี้จากหนังสือข่าว ส.ส.ท. โดย พรเทพ ทวีกาญจน์
เอามาลงเพื่อเป็นความรู้สำหรับคนเล่นอินเตอร์เน็ต
มาดูว่าการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต คืออะไร ก่อนที่จะพิจารณาถึงเรื่องนี้ควรจะพิจารณาก่อนว่า หมิ่นประมาทนั้น มีลักษณะการกระทำอย่างไร หมิ่นประมาทคือ การใส่ความผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ เช่น พูด เขียน พิมพ์ข้อความ หรือแสดงกริยาต่างๆ โดยการใส่ความดังกล่าวนั้น ต้องเป็นการกระทำให้บุคคลที่สามรับทราบ ซึ่งเป็นการกระทำให้ผู้ถูกใส่ความนั้น ได้รับความเสียหาย
ดังนั้น ผู้กระทำการหมิ่นประมาท จะมีความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา กล่าวคือ การหมิ่นประมาทนั้น ผู้กระทำผิดจะมีความหมายทางแพ่ง ฐานละเมิดตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ ผู้กระทำได้กล่าว หรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความที่ขัดต่อความเป็นจริง เป็นผลให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ
นอกจากนี้การหมิ่นประมาท ยังถูกบัญญัติให้เป็นความผิดหนึ่ง ในประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งลักษณะการกระทำคือ ผู้กระทำความผิดได้ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง การพิจารณาข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาทในทางอาญานั้น อาจเป็นความจริง หรือเท็จก็ได้ดังที่เคยมีคำกล่าวว่า "ยิ่งจริงยิ่งผิด" เพราะกฏหมาย มุ่งพิจารณาแต่เพียงว่าถ้ามีการกล่าวถึงบุคคลอื่น ในด้านที่ไม่ดีแล้ว ย่อมจะทำให้สังคมไม่สงบสุข ไม่ว่าข้อความนั้นจะเป็นจริงหรือไม่
ความรับผิดทางอาญา และทางแพ่งมีข้อแตกต่าง ประการสำคัญทีสุด คือ หากข้อความที่กล่าวเป็นเรื่องเท็จ ผู้กระทำจะมีความผิดทางอาญา และต้องชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง แต่ถ้าข้อความที่กล่าวเป็นจริง ผู้กระทำจะมีความผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง
กรณีความผิดทางอาญา ในการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต จะมีความผิดตามมาตรา 326 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมื่น หรือ ถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ"
หากนำข้อความ หรือภาพที่มีลักษณะหมิ่นประมาท ไปลงไว้ในเว็บไซต์ คนทั่วไปย่อมสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ อันเป็นลักษณะของการโฆษณาด้วยภาพ หรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฎด้วยวิธีใด อย่างหนึ่ง ซึ่งในมาตรา 329 บัญญัติไว้ว่า "ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาท ได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนต์ ภาพ หรือ ตัวอักษรที่ทำให้ปรากฎ ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท" ผู้กระทำจะต้องได้รับโทษหนักกว่ามาตรา 326 เพราะการโฆษณาเป็นการทำให้ข้อความหรือภาพที่มีลักษระหมิ่นประมาทกระจายไปสู่คนจำนวนมากกว่าการหมิ่นประมาททั่วๆ ไป
ความผิดสำเร็จในความผิดฐานหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ตนั้น จะถือว่าความผิดสำเร็จเมื่อใด เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ว่า "โดยประการที่ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมื่น หรือถูกเกลียดชัง" ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 326 นั้นไม่ใช่ผลของการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ที่ต้องถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว แต่จะพิจารณาว่าผิดสำเร็จ หรือไม่จากวิญญูชนทั่วไป (บุคคลทั่วไป) ว่าเมื่อได้รับทราบข้อความนั้นแล้ว เห็นว่าน่าจะเกิดความเสียหายแต่ผู้อื่นหรือไม่ ถ้าเห็นว่าน่าจะเสียหาย ผู้กระทำก็จะมีความผิดแล้ว แต่ถ้าบุคคลทั่วไปเห็นว่าไม่น่าจะเสียหายแต่ผู้อื่น ผู้กระทำก็ไม่มีความผิด และต้องได้ข้อเท็จจริงว่า บุคคลที่สามรับทราบข้อความนั้นแล้ว จึงจะถือว่าเป็นความผิดสำเร็จ
ถ้าบุคคลที่สามยังไม่ได้รับทราบข้อความนั้นเลย ก็เป็นแต่เพียงขั้นพยายามหมิ่นประมาทเท่านั้น คือ ผู้กระทำได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เช่น นายเอก ส่งอีเมลล์ให้นายโท โดยมีข้อความหมิ่นประมาทนายตรี ถ้านายโทยังไม่เปิ[คำไม่พึงประสงค์]่าน ถือว่านายเอกได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่ไม่บรรลุผล คือ นายโท ยังไม่ได้รับทราบข้อความนั้น จีงมีความผิดเพียงขั้นพยายามหมิ่นประมาทรับโทษเพียงสองในสาม แต่ถ้านายโทเปิ[คำไม่พึงประสงค์]่านอีเมล์ฉบับดังกล่าวแล้ว ถือได้ว่ามีบุคคลที่สามรับทราบข้อความแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จโทษเต็มตามที่กฎหมายบัญญัติ
ในกรณีเมื่อได้รับอีเมลล์ที่มีข้อความหมิ่นประมาท และได้ forward ต่อไปให้ผู้อื่น จะมีความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ประเด็นนี้เกิดขึ้นได้บ่อยมากในปัจจุบัน เพราะสามารถทำการส่งข้อความหรือภาพ ที่เราได้รับมาไปให้เพือนหรือ คนรู้จักกันได้อีกไม่จำกัดจำนวน ประเด็นนี้สามารถเทียบเคียงได้กับคำพิพากษาศาลฎีกาที 2822/2515 ซึ่งมีข้อเท็จจริงคือ จำเลยแสดงข้อความในจดหมายที่ได้รับจากผู้อื่น โดยรู้อยู่ว่าจดหมายนั่นมีข้อความหมิ่นประมาท ถือได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาท
เหตุที่มองว่าการ Forward-mail ไปให้ผู้อื่นถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะผู้กระทำนั้นเมื่อได้รับทราบข้อความ แล้วได้ทำการเผยแพร่ต่อไป เท่ากับเป็นการใส่ความผู้เสียหายต่อไปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการขยายความเสียหายออกไป อีกจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้นเอง แล้วถ้าหาก Forward-mail ต่อไปให้บุคคลอื่นอีกหลายคน จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาที่ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 นั้น จะต้องพิจารณาจากการกระทำเป็นหลัก ว่าเป็นการโฆษณาหรือไม่ โดยไม่คำนึงถึงจำนวนบุคคลผู้รับข้อความ ว่าจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด
**เพิ่มเติมอีกนิดนะจ๊ะ
.กรณีศึกษาอาชญากรรมและกฎหมายไอที
การCopyรูปภาพ/ข้อความบนเว็บไซต์ของผู้อื่นมาใช้เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ จำเป็นต้องขออนุญาตเจ้าของเสียก่อน แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับกรณีเพื่อการศึกษา โดยต้องมีการอ้างอิงและขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์
การหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ตสามารถฟ้องร้องเอาผิดได้หรือไม่ สามารถฟ้องร้องได้ทั้งคดีอาญา และคดีแพ่ง โดยอาญานั้นยิ่งจริงยิ่งผิด ไม่สามารถยอมความได้นะจ๊ะ 1 คำหมิ่นประมาท คิดเป็นหนึ่งบทลงโทษ 100 คำหมิ่นประมาท(ต่อคน) ก็บวก ลบ คูณ หารกันเอาเองนะ คนตั้งกระทู้โทษหนักพักพวกก็โดนนะจ๊ะ
การทำHyperlink ไม่ให้ละเมิดลิขสิทธินั้น ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์เสียก่อน
โหลดโปรแกรมหรือเพลงทางอินเตอร์เน็ต ถ้าใช้งานแบบถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ต้องเป็นโปรแกรมประเภท Freeware,Shareware ส่วนการโหลดเพลงขึ้นบนอินเตอร์เน็ตให้คนทั่วไปโหลดได้ฟรีๆเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นคดีอาญา
เอิ๊กๆ มีหลายกรณีแล้วนะค่ะที่ฟ้องร้องกันมา ระวังน๊าโพสพาดพิงถึงคนขี้โมโห
และเอาเรื่อง จะถูกฟ้องไม่รู้ตัว ตรงนี้ไม่สามารถเอาลิงค์มาให้ดูได้ เพราะยังไม่ได้ขอเจ้าของ
แต่หาในgoogle คำว่าหมิ่นประมาททางอินเตอร์เนตได้จ๊ะ น่าจะมีตัวอย่างคนที่ถูกฟ้องร้องให้ดู
ถ้าเห็นว่ากระทู้นี้มีประโยชน์โหวดให้ด้วยจ๊ะ อ้อระวังนะเวลาตั้งกระทู้ถึงใครให้เอ่ยชื่อย่อ
แต่ถ้ามันทำให้เขาเสื่อมเสียต่อสาธารณชน และโฆษณามีผลให้เสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม
ก็อย่าไปทำเลยเพราะว่าเราคนไทยเหมือนกัน "รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย"
อีกอย่างนะจ๊ะแม้เอ่ยชื่อย่อ แต่เมื่อพูดไปแล้ว เขียนข้อความลงไป แล้วคนอื่นรู้ว่าเป็นบุคคลคนนั้น
ก็โดนเหมือนกันนะ เดี๋ยวนี้แม้แต่เล่นอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ก็จับได้นะจ๊ะ เพราะกฎหมายเขาให้ร้านเก็บข้อมูลไว้ 90 วัน อย่าไปเชื่อใครว่าในเน็ตทำอะไรไม่ได้ล่ะ มีคนโดนมาแล้วปัจจุปันหนีหัวซุน บางคนก็ต้องสู้คดีเสียเวลา เสียเงิน ยิ่งโดนคดีอาญานี้แสบจริงๆ ยอมความไม่ได้เลยน๊า
แล้วบางทีถ้าเราตั้งกระทู้หมิ่นเหม่ แล้วถูกลบก็อย่าไปโกรธเว็บไซส์นะจ๊ะเพราะว่า
หากมีการฟ้องร้องทางคดีความ เวบไซต์ "อาจจะ" ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย
(อ้างอิงจาก พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ www.dsi.go.th/dsi/gallery/yanaphon/comp_law_2007.pps)
***********************
มาตรา ๑๕ ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔
ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๔
เหตุผล ผู้ให้บริการในที่นี้มุ่งประสงค์ถึง เจ้าของเว็บไซต์ ซึ่งมีการพิจารณาว่า
ควรต้องมีหน้าที่ลบเนื้อหาอันไม่เหมาะสมด้วย
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๑๔ โทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี โทษปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ที่มา http://www.dek-d.com
ปล.ทั้งหมดนี้อยากให้เข้าใจว่ามิได้มีเจตนาชี้นำหรือทำร้ายใครทั้งสิ้น ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นในมุมกว้าง หากแต่พึงระวังไว้ว่า อย่าพลั้งเผลอไปหมิ่นประมาทใครเข้า ไม่ว่าจริงหรือเท็จ หากผู้เสียหายเอาผิดขึ้นมา ก็อาจเลี่ยงไม่ได้ จึงอยากให้คิดก่อนสักนิด เพื่อเสถียรภาพของตนเองมิใช่ใครอื่น จึงแบ่งปันมาเพื่อทราบ ด้วยความปารถนาดีกับทุกท่านครับ
TOP
Read More
เทคโนโลยี 3G คืออะไร
3G หรือ Third Generation เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต
3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น
ลักษณะการทำงานของ 3G
เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น เช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ
เทคโนโลยี 3G น่าสนใจอย่างไร
จากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น
3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว
“Always On”
คุณสมบัติหลักของ 3G คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล ซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย
อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G
สำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC
ข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
......................................................................................................................................................
เทคโนโลยี 3G กับมือถือ (Mobile phone)
ระบบ 3G ( UMTS ) นั้นคือการนำเอาข้อดีของ ระบบ CDMA มาปรับใช้กับ GSM เรียกว่า W-CDMA ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท NTT DoCoMo ของญี่ปุ่น
สำหรับเมืองไทยนั้น ระบบ 3G จะเป็น เทคโนโลยีแบบ HSPA ซึ่งแยกย่อยได้เป็น HSDPA , HSUPA และ HSPA+
HSDPAนั้นจะสามารถ รับส่งข้อมูลได้สูงสุดที่ Download 14.4 Mbps / Upload 384 Kbps. ( ปัจจุบันผู้ให้บริการทั่วโลกยังให้บริการอยู่ที่ Download 7.2Mbps เท่านั้น )
HSUPAจะเหมือนกับ HSDPA ทุกอย่างแต่การ Upload ข้อมูลจะวิ่งที่ความเร็วสูงสุด 5.76 Mbps
HSPA+ เป็นระบบในอนาคต การ Download ข้อมูลจะอยู่ที่ 42 Mbps / Upload 22 Mbps
สำหรับในเมืองไทยนั้น ระบบ 3G ( HSPA ) ที่ Operator AIS หรือ DTAC นำมาใช้จะเป็น HSDPA โดยการ Download จะอยู่ที่ 7.2Mbps ซึ่งน่าจะได้ใช้กันในไม่ช้า
ข้อควรระวังในการเลือกซื้อ AirCard แบบที่รองรับ 3G คลื่นความถี่ 3G ที่ใช้กันทั่วโลก จะใช้อยู่ 3 ความถี่ที่เป็นมาตราฐานคือ 850 , 1900 และ 2100 ซึ่งเมืองไทยจะแบ่งเป็นดังนี้
คลื่นความถี่ ( band ) 850 จะถูกพัฒนาโดย Dtac และ True
คลื่นความถี่ ( band ) 900 จะถูกพัฒนาโดย AIS (ใช้ชั่วคราวที่เชียงใหม่ และ Central World)
คลื่นความถี่ ( band ) 2100 กำลังรอ กทช. ทำการประมูลเพื่อจัดสรรคลื่นความถี่
คลื่นความถี่ ( band ) 1900 และ 2100 จะถูกพัฒนาโดย TOT
ดังนั้นการเลือกซื้อ AirCard , Router หรือ โทรศัพท์มือถือ และต้องการให้รอบรับ 3G ควร check ให้ดีก่อนว่าสามารถรองรับได้ทั้ง 3 คลื่นหรือเพียงบางคลื่นเท่านั้น
ที่มา http://www.notebookspec.com/web/?p=58
....................................................................................................................................................
ปล. แต่สำหรับในต่างประเทศแล้วเค้าใช้เทคโนโลยีนี่มาไม่น้อยกว่าห้าปีมาแล้วในบางประเทศ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เป็นต้น และโดยส่วนตัว ผมเคยเห็นเทคโนโลยี 3G นี้ครั้งแรกเมื่อสี่ปีที่แล้วใน ฮ่องกงและเขตติดต่อพื้นที่ใกล้เคียง
TOP
Read More
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อนโทรมาถามผมว่า netbook คืออะไร แล้วมันต่างจาก notebook ยังงัย ..?
คือว่าเพื่อนรุ่นน้องเค้าสนใจและอยากจะซื้อแต่ไม่รู้ข้อมูลมากนัก.....
จากข้อมูลที่ผมรู้เลยตอบไปว่า มันก็เหมือนกับ notebook นั่นแหล่ะ เพียงแต่ว่าไม่มีฮาร์ดดิสก์ ขนาดเล็กกว่า เบากว่า พับได้ และข้อจำกัดการใช้งานมีน้อยกว่า notebook ( Laptop computer )
สรุปได้ก็คือเค้าสร้างเจ้านี่มา เพื่อรองรับการเข้าถึงระบบสื่อสารไร้สายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นั่นเอง เจ้านี่สามารถตอบสนองการใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็น โปรแกรมแช็ท ประเภท MSN โปรแกรมโทรศัพท์ทางไกลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และรวมไปถึงการเข้าสู่โลกของ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค(social network) เช่น Hi5,Facebook,Windows live space หรือ Multiply เป็นต้น
นอกจากกลุ่มนักศึกษาจะนิยมใช้แล้ว ก็ยังเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยทำงาน และด้วยความโดดเด่นของเจ้า netbook นี่จะเน้นการใช้งานด้านเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเป็นหลัก
ถึงแม้ว่าราคาส่วนต่างระหว่าง netbook และ notebook จะมีไม่มากนักหากคิดจะเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องของบุคคล เพราะแต่ละคนมีความต้องการใช้งานที่ต่างกัน ขึ้นอยู่ที่ว่าอย่างไหนเหมาะกับความต้องการของคุณมากกว่ากัน ก็เท่านั้นเอง
TOP
Read More
ทุกวันนี้โลกแห่งเทคโนโลยี ได้เข้ามามีบทบาท และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราโดยปริยาย หลายสิ่งเกิดจากการคิดค้นด้วยมือมนุษย์ หลากหลายและรายล้อมอยู่ในชีวิตประจำวันโดยไม่อาจปฏิเสธได้
ผมก็เป็นคนนึง ที่ตกอยู่ในวัฏจักรของเทคโนโลยีเหล่านี้ จากที่เคยคิดจะปฏิเสธ และลองปฏิบัติดูกับการใช้ชีวิตแบบไร้เทคโนโลยีแล้ว สรุปก็คิอผมไม่สามารถปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้ และก็ต้องกลับมาใช้เช่นเดิม
และสิ่งที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้ก็คือ “คอมพิวเตอร์”
มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมไปซะแล้ว
คอมพิวเตอร์ของผมเป็นแบบ แล็ปท็อบ (Laptop) มันก็คือ คอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊ค นั่นแหละ เจ้านี่สามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้สะดวก ใช้งานง่าย ไม่ขี้บ่นให้รำคาญใจเพราะมันไม่มีปาก นานๆจะงอแงสักที แต่ก็ยังใช้งานได้ดี มันไม่ได้หรูหราหรือขั้นเทพอะไรมากนัก
เสป็คคร่าวๆด้วยความเร็วซีพียู 1.70GHz intel pentium M processor ,1 giga of ram พร้อม ระบบปฏิบัติการ windows XP pack 2 ภายใต้ชื่อ ASUS MN6 series มันก็ทำให้การจัดระเบียบข้อมูลต่างๆของผมเป็นไปด้วยดีและราบรื่นเรื่อยมา
หลังจากเคยใช้งาน มาแล้วจากสองตัว ซึ่งราคาค่อนข้างแพง ซึ่งตัวแรกพังและตัวที่สองขายไป แต่ก็มาลงเอยเอาเจ้านี่เป็นตัวที่สาม สนนราคาก็สมน้ำสมเนื้อและทนทาน (อึดมากๆ)
ผมสามารถ ดูหนัง ฟังเพลง สร้างมัลติมิเดียง่ายๆ เก็บไฟล์ข้อมูล งานเอกสาร word,excel,notepad,powerpoint รูปถ่าย ดูทีวี(ต่อผ่าน TV box) เล่นอินเทอร์เน็ต สร้างไฟล์ข้อมูล โปรแกรมพูดคุยบนอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ผ่านเครือข่าย เล่นเกมส์(บางครั้งน่ะเพราะปกติไม่ชอบเล่นเท่าไหร่) รับ-ส่ง อีเมล พูดคุยกับเพื่อนๆใน social network และ web blog สร้าง multi-sequenser ไฟล์และงาน edit ต่างๆ
จะว่าไปแล้วเจ้านี่สามารถตอบสนองได้ดีและรวมทุกอย่างไว้อย่างที่ต้องการใช้งาน และพกพาไปไหนได้สะดวก นั่นแหละเจ้า Laptop ของผม
คุณล่ะ… ใช้คอมพิวเตอร์ของคุณทำอะไรบ้างในชีวิตประจำวัน!!!
TOP
Read More
อะไรเป็นสาเหตุให้บางคนถนัดซ้าย หรือบางคนก็ถนัดขวา
จากการค้นหาข้อมูลแล้วทำให้รู้ได้ว่า
การที่คนเราจะถนัดซ้ายหรือขวานั้นมาจากหลายสาเหตุ ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคิดว่า เป็นเพราะเด็กใช้มือซ้ายหรือขวามากนั้นจะทำให้กลายเป็นคนที่ถนัดข้างนั้น แต่ไม่จริงเลยครับ คนถนัดซ้ายหรือขวานั้นจะเป็นมาตั้งแต่กำเนิด
การที่ถนัดซ้ายหรือขวานั้นมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นสาเหตุทางชีวะภาพ สองทฤษฎีทางพันธุกรรมของความถนัดของมือมนุษย์ที่ถูกตีพิมพ์อย่างกว้างขวางมากที่สุดอ้างว่า การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection)
ที่เป็นไปตามวิวัฒนาการจะผลิตคนส่วนใหญ่ที่มีการควบคุมการพูดและภาษาอยู่ภายในสมองซีกซ้าย อีกทั้งสมองซีกซ้ายยังควบคุมการเคลื่อนที่ของมือขวา และโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่ต้องการในการสร้างภาษาเขียน การพัฒนาทางวิวัฒนาการหลายพันปีทำให้ประชากรมนุษย์มีความเอนเอียงทางพันธุกรรมไปยังกลุ่มคนที่มีสมองซีกซ้ายในการควบคุมการพูดและภาษา และมีความถนัดมือขวา ประมาณ 85% ของมนุษย์ทั้งหมดจะถนัดขวา ทฤษฎีทั้งสองนี้ยังอธิบายถึงการฝังแน่นและความต่อเนื่องของประชากรที่ถนัดซ้ายอีกด้วย (ประมาณ 15% ของประชากรทั้งหมด)
ข้อเสนอทางพันธุกรรมเพื่ออธิบายความถนัดของมือกล่าวว่า มีอัลลีล 2 อัลลีลที่มีความเกี่ยวข้องกับความถนัดของมือ อัลลีลหนึ่งคือ D gene (ย่อมาจาก dextral หมายถึง ขวา) และอีกอัลลีลก็คือ C gene (ย่อมาจาก chance หมายถึง โอกาส) D gene พบได้บ่อยในประชากรและมีแนวโน้มว่าเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของบุคคลหนึ่ง และมันยังสนับสนุนให้เกิดความถนัดทางด้านมือขวาของประชากรส่วนใหญ่อีกด้วย ส่วน C gene เกิดขึ้นได้น้อยในประชากร แต่เมื่อพบยีนนี้ ความถนัดของมือของบุคลลนั้นจะถูกสุ่ม คนที่มี C gene จะมีโอกาสเพียง 50% ที่จะถนัดมือซ้าย
ในชีวิตของคนเราตั้งแต่เกิดมา จะถูกฝึกให้ใช้มือข้างใดข้างหนึ่งเป็นหลักตั้งแต่ปฐมวัยวัยทั้งก่อนเรียน และวัยเข้าเรียน เพื่อใช้ในการหยิบจับ เช่นช้อน ดินสอ ปากกา เครื่องมือต่างๆ แม้กระทั่งการเล่นกีฬา ซึ่งแต่ละคนนั้นจะมีความถนัดในการใช้มือข้างซ้าย หรือข้างขวา ก็แล้วแต่ภูมิหลังที่ได้เริ่มฝึกฝนกันมา โดยมีสิ่งสำคัญคือ ระบบประสาทสั่งงาน ที่รับคำสั่งมาจากสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาของคนเรา ให้มีปฏิสัมพันธ์กับอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทั้งนี้สมองของคนเราแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ๆได้แก่
สมองซีกซ้าย [ Left cerebral hemisphere]
ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายซีกขวา และเรื่องที่เกี่ยวกับ
1.สติปัญญาแบบเหตุผล, 2.ตัวเลข, 3.การคิดแบบนามธรรม, 4.การคิดเป็นเส้นตรง, 5.การวิเคราะห์, 6.ไม่ใช้การจินตนาการ, 7.การคิดแบบต่อเนื่องตามลำดับ, 8.วัตถุวิสัย, 9.คำพูด
สมองซีกขวา [Right cerebral hemisphere]
ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายซีกซ้าย และเรื่องที่เกี่ยวกับ 1. สหัชญาน(ไม่เกี่ยวกับเหตุผล) 2.การอุปมาอุปมัย, 3.การคิดแบบรูปธรรม, 4. การคิดอิสระไม่เป็นเส้นตรง, เห็นภาพทั้งหมด, 5.การสังเคราะห์, 6.การใช้จินตนาการ, 7. การคิดไม่เป็นไปตามลำดับ มีความหลากหลายเชื่อมต่อหลายมุม หรือมีมิติสัมพันธ์, 8.อัตวิสัย, 9.สิ่งที่ไม่ต้องใช้คำพูด, เห็นเป็นภาพ
สมองน้อย [Cerebellum]
ทำหน้าที่การทรงตัว การประสานงานของกล้ามเนื้อ
ก้านสมอง [Brain stem]
เป็นทางผ่านของเส้นประสาทที่นำคำสั่งจากสมองไปยังร่างกาย นอกจากนั้นยังควบคุมการหายใจ ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ
จากข้อมูลข้างต้น คนที่ถนัดด้านซ้าย ก็จะได้เปรียบเริ่องการพัฒนาสมองซีกขวาได้ดีกว่า จึงเหมาะสำหรับการสร้างจินตนาการ หรือสร้างจินตภาพ ซึ่งจะได้เปรียบในเรื่องของความคิดที่เป็นอิสระไม่ต้องใช้เหตุผล คนมีชื่อเสียงระดับโลกหลายคนที่ถนัดมือซ้ายนั้น มีการพัฒนา
สมองซีกขวา เพราะใช้สติปัญญาความคิดสร้างสรรค์ แต่ขณะเดียวกันเมื่อมีดีก็ต้องมีด้อย เพราะถ้าหากเป็นนักกีฬาแล้ว เมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่หนียวแน่น อดทนในการเล่นเกมที่ต้องใช้ระยะเวลานานๆ ผลจากการใช้สมองซีกขวาที่เริ่มอ่อนล้า การตีลูกที่เคยแม่นยำด้วยการมโนภาพ ก็จะมีอาการตีลูกเสียให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง อีกประการหนึ่งร่างกายด้านซ้ายของคนเรานั้น ตามปกติเป็นที่ตั้งของหัวใจ การเคลื่อนไหวออกกำลังสำหรับคนที่ถนัดมือซ้าย จึงเป็นไปได้ว่ามีผลทำให้หัวใจที่อยู่ด้านเดียวกันได้รับการกระทบกระเทือนมากกว่า เป็นผลทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก เหนื่อยง่ายเร็วกว่า และหากเล่นกีฬาแบบหนักๆไปนานๆน่าจะมีผลเรื่องแก่เร็ว และผลกระทบทางสมองอีกด้วย ซึ่งเรามักจะเห็นกันบ่อยๆว่า นักกีฬามวยที่มีชื่อเสียงมักถนัดมือซ้าย แต่เป็นโรคทางสมอง นอกจากนี้ในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ในการเล่นจะต่างจากคนที่ถนัดมือขวา โดยมักจะแสดงอาการดีใจ เสียใจ หรือแสดงความโกรธ ก้าวร้าวออกมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนักกีฬาแถบยุโรปหรืออเมริกาส่วนใหญ่นั้นจะถนัดมือซ้าย
สำหรับคนที่ถนัดด้านขวาก็จะมีการพัฒนาสัมพันธ์กับสมองซีกซ้าย เพราะใช้สั่งงานบ่อย จึงพบได้บ่อยๆว่า นักกีฬามือขวาจะควบคุมอุปกรณ์การเล่นได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะกีฬาประเภทแร็กเกต เช่นแบดมินตัน เทนนิสนั้น ในการเล่นจะต้องมีการกะระยะ ทิศทาง ตำแหน่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสมองซีกซ้ายจะสั่งงานเกี่ยวกับการคาดคะเนต่างๆ การคำนวณกะระยะ ในการแข่งขันที่ยาวนาน ซึ่งต้องใช้สมาธิ ความอดทน และใช้พลังงาน คนมือขวาคงได้เปรียบที่หัวใจไม่ได้อยู่ด้านขวามือ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นแนวคิดในการพัฒนาสมองทั้งสองซีกให้ใช้งานผสานกันได้อย่างเหมาะสมในการทำงาน หรือทำกิจกรรมต่างๆในการดำเนินชีวิตทั่วไป ซึ่งหากทำได้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะมีมากกว่าคนที่ฝึกการใช้สมองเพียงซีกเดียวอย่างแน่นอน
ทฤษฎีของหลักความถนัดของมือเหล่านี้น่าทึ่งมากทีเดียว เพราะว่ามันสามารถบอกถึงความจริงที่ว่า ด้านของความถนัดของมือในบุคคลที่มี C gene (คนที่ถนัดซ้ายส่วนใหญ่ และคนถนัดขวาบางคน) สามารถได้รับอิทธิพลจากความกดดันทางวัฒนธรรมและสังคมภายนอกได้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่นักวิจัยได้ศึกษาแล้ว ทฤษฎีเหล่านี้ยังสามารถอธิบายได้ว่า การพบเด็กถนัดขวาในครอบครัวที่มีพ่อแม่ถนัดซ้าย และการพบเด็กถนัดซ้ายในครอบครัวที่มีพ่อแม่ถนัดขวา ถ้าพันธุกรรมต่างๆ ของครอบครัวมี C gene แล้ว ความถนัดของมือจะเป็นไปตามอิทธิพลของโอกาสรวมถึง ความกดดันจากการฝึกหัดของครอบครัว และการแทรกแซงทางสิ่งแวดล้อมซึ่งทำให้ความชอบในการใช้มืออีกข้างมากกว่าอีกข้างหนึ่ง ตำแหน่งของยีนที่เสนอขึ้นมาช่วยตรวจสอบความถนัดของมือที่มีอัลลีลมาจากพ่อแม่ และการรวมกันทางพันธุกรรมที่เป็นไปได้มากมาย: คนที่มียีน DD จะถนัดขวามาก, คนที่มียีน DC จะถนัดขวามากกว่า และคนที่มียีน CC อาจจะถนัดซ้ายหรือขวา การรวมตัวทางพันธุกรรมนี้ทำให้เราเห็นว่า มนุษย์ส่วนใหญ่จะถนัดขวา และส่วนน้อยจะถนัดซ้าย แต่เมื่อเกิดขึ้นจะฝังแน่นต่อไป
หลายคนอาจจะบอกว่า การที่ถนัดซ้ายนั้นคือความผิดปกติ และพ่อแม่ส่วนใหญ่นั้นจะพยายามบังคับเด็กให้เขียนหนังสือข้างขวา นั้นผมไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จะถนัดซ้ายหรือขวานั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล
และเด็กหลายคนในวัยเรียนที่ถนัดซ้ายจะช้ำใจย่างมาก ที่ถูกบังคับให้เขียนหนังสือข้างขวา จริงๆ แล้วคนที่ถนัดซ้ายไม่ใช่เป็นความผิดปกติครับ
หรือบางคนอาจจะให้เหตุผลว่า คนถนัดซ้ายจะ มักจะมีความลำบากในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญแต่อย่างใด
ในฐานะที่ผมก็เป็นคนหนึ่งใน 15% ของคนถนัดซ้าย สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดคือการขับรถพวงมาลัยขวาซึ่งขับนานๆ จะมีความรู้สึกปวดกล้ามเนื้อ
TOP
Read More
ปกติเวลาคุณปลอกผลไม้ ส่วนใหญ่วิธีที่คุณใช้และที่เคยเห็นนั้น จะใช้มีดปลอกผลไม้ “ปลอกออกไปจากตัว”
อาจจะเป็นวิธีปฏิบัติกันมาจนเป็นเรื่องเคยชิน และเหตุผลก็มาจาก เพื่อไม่ให้เป็นอัตรายจากคมมีด ไม่เหมือนกับวิธีการที่เราจะส่งมีดนั้นซึ่งเป็นให้กับผู้อื่น กลับหันปลายมีดนั้นเข้าหาตัวแล้วหันด้ามมีดส่งให้แทน
ที่กล่าวมามันคงเป็นเรื่องแปลกใจ เมื่อคุณอยู่ต่างประเทศ หรือถ้าคุณเห็นเพื่อนต่างชาติ เขาปลอกผลไม้ด้วยวิธี “ปลอกเข้าหาตัว”
ลองสอบถามดูต่างชาติหลายคนว่าการปลอกแบบนี้ เค้าก็ทำแบบนี้มานานแล้ว และเป็นเรื่องที่เคยชินที่ถนัด และเป็นวิธีที่ปลอดภัยเพราะเราสามารถคววบคุมมีดได้ดีกว่า เค้าว่าอย่างนั้น
แต่เวลาเค้าส่งมีดให้กัน กลับไม่ได้ให้ความสำคัญว่าด้านไหนปลายมีด อาจเป็นอันตรายหรือไม่ ก็ส่งกันไปอย่างนั้นเลย หรืออย่างดีสุดก็วางมีดไว้ให้หยิบเอาเอง
มันไม่ได้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติหรืออย่างไร เป็นเรื่องที่ทำกันมาอย่างนั้นจนก็เป็นความเคยชิน
แต่หากจะเป็นเรื่องที่ปฏิบัติของเชฟชาวญี่ปุ่น ซึ่งจะปลอกผลไม้เข้าหาตัว และด้วยเหตุผลที่ว่า มีดปลอกผลไม้นั้นมีขนาดเล็ก ด้ามเล็กและมีความคมมากๆ หากปลอกเข้าหาตัวนั้น ก็จะควบคุมมีดได้ง่ายกว่า
หรือแม้กระทั่งเวลาหั่น ด้วยมีดขนาดใหญ่ก็จะกลับด้านปลายมีดเข้าหาตัวเนื่องด้วยหัวนิ้วมือจะสามารถควบคุมปลายมีดได้ง่ายกว่า ขณะที่ต้องใช้แรงกดที่ตัวมีด กับปลาหรือผักที่มีขนาดใหญ่
และที่สำคัญหากคุณ “สับผลไม้หรือผัก” คงเป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับชาวต่างชาติแน่นอน เพราะเค้าว่ามันเป็นเรื่องน่าทึ่งสำหรับพวกเขา เพราะพวกเค้าสับแบบนั้นไม่เป็น
TOP
Read More
เอาเป็นว่า มาพูดกันถึงเรื่อง หัวนอน ปลายเท้า กันดีกว่าครับ
เรื่องเตียงนี่แหละปัญหา แต่จะหันเตียงไปทางไหนนี่สิ
จะหันหัวเตียงไปด้านเหนือ หรือจะหันไปทางตะวันออก
อยากถามว่า ที่บ้าน ที่หอพักแต่ละท่าน หันหัวนอนไปทิศไหนกันครับ มีความเชื่อกำกับไว้หรือเปล่าครับ
สำหร้บผมนั้น ส่วนใหญ่ผมจะนอนหันหัวไปทางตะวันออกครับ หากจะถามเหตุผลว่า ทำไมถึงหันหัวนอนไปทางนั้น ก็คงตอบได้เพียงว่า "เคยชิน" แต่ถ้านอนโรงนอนหรือโรงแรม เราเลือกทิศไม่ได้หรอกครับ
ทุกวันนี้ก็เลยนอนตามความเหมาะสมของสถานที่ครับ
เมื่อครู่ไปเปิดพจนานุกรมบนเว็บไซด์ มาครับ กับคำว่า
"หัวนอน" ได้ความหมายว่า
1. ค้น : หัวนอน
นิยาม : ด้านทางหัวของผู้นอน, ตรงข้ามกับ ปลายตีน.
2. ค้น : หัวนอน
นิยาม : ทิศใต้ เรียกว่า ทิศหัวนอน
จากความหมายที่สองนี่ ตกลงคนไทยเรา หันหัวนอนไปทิศใต้กันหรือครับ...
ถ้าหากว่าจำไม่ผิด
ทิศใต้เป็นทิศหัวนอนของคนไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว
มีบอกไว้ในศิลาจารึก และคนใต้บางจังหวัดจะนอนหันหัวไปทางทิศใต้เพราะเชื่อว่าเป็นทักษิณทิศ
ระหว่างปี พ.ศ.1300-1500 ชวา-ศรีวิชัย
มีความเชื่อแต่โบราณ คนตายหันหัวไปทางทิศเหนือ...จึงไม่แปลก...ที่เชื่อกันว่า คนเป็น...เวลานอน ต้องหันหัวไปทางทิศใต้ พื้นความเชื่อนี้ นำไปสู่การปลูกบ้าน บ้านเรือนหลังยาว หันด้านยาวไปทางทิศใต้ ถือว่าเป็นมงคล
แต่ละความเชื่อนั้น...ค่อยๆสืบสาวกันไป... ไม่ช้า ก็จะรู้ที่มา
ย้อนไประหว่างปี พ.ศ.1300-1500 ชวา-ศรีวิชัย อาศัยเส้นทางคมนาคม ซึ่งเรือสินค้าทุกชาติแล่นผ่าน (ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา) พัฒนาระบบการเดินเรือและการปล้น รวมไปถึงการเก็บภาษี สร้างความมั่งคั่งอย่างยิ่ง...แต่กระนั้น ก็ยังนำกองเรือไปโจมตีดินแดน ชายฝั่งทะเลจีน
จารึกหลายหลัก บันทึกว่า พ.ศ.1310 กองทัพเรือชวารุกถึงเมืองในอ่าวตังเกี๋ย แต่ถูกตอบโต้จนถอยร่นกลับ พ.ศ.1317 ยกมาอีกครั้ง ทางด้านใต้ของเวียดนามแถบญาตรัง พ.ศ.1330 จารึกอีกหลัก กล่าวว่าพวกชวาโจมตีอาณาจักรจัมปา
หลักฐานเหล่านี้ ยืนยันว่า พวกชวา ซึ่งอาจหมายถึงพวกศรีวิชัย ได้ขยายอำนาจเข้าไปในดินแดนจาม และเจินละ ซึ่งเป็นอาณาจักร ปลายแหลมอินโดจีน
สงครามหนึ่งในสองครั้ง เป็นตำนานเล่าขานกันในหมู่นักเดินเรือทั่วโลก หลังเหตุการณ์ราว 100 กว่า ปี พ.ศ.1459 พ่อค้าชาวอาหรับ...คนหนึ่ง บันทึกเรื่องราวไว้ตอนหนึ่งว่า
ในอดีต...กษัตริย์หนุ่มกัมพูชา...ปรารภกับปุโรหิตว่า อยากเห็นพระเศียรมหาราชาแห่งทะเลใต้...มาตั้งอยู่บนพื้นท้องพระโรง ทรงย้ำหลายครั้ง จนเป็นข่าวแพร่ไปถึงพระกรรณกษัตริย์ชวา
ไม่นาน กษัตริย์ชวา ยกทัพเรือมาจับกษัตริย์หนุ่มกัมพูชา กลับไปยังเกาะชวา
เมื่อตั้งกษัตริย์กัมพูชาองค์ใหม่แล้ว มหาราชาแห่งชวา ได้ส่งพระเศียรอดีตยุวกษัตริย์กัมพูชาคืนให้ กษัตริย์องค์ใหม่ เป็นสัญญาณให้เชื่อมั่นในอานุภาพมหาราชาแห่งทะเลใต้
พ่อค้าอาหรับ บันทึกทิ้งท้าย...นับแต่นั้น กษัตริย์กัมพูชา เวลาบรรทมก็หันพระเศียรไปทาง ทิศใต้ และเรียกทิศนั้น ว่าทิศหัวนอน...สืบมา
ที่เคยเห็นผู้ใหญ่ถือกัน คือห้ามหันหัวนอนไปทางทิศตะวันตก
ถือว่าเป็นทิศคนตาย ตามความเชื่อของคนโบราณอีกทั้งพระอาทิตย์ก็ตกให้ทิศนั้นเช่นกัน
ทิศตะวันตกเป็นทิศอัปมงคล จึงไม่นิยมหันหัวนอนไปทางทิศนั้น
หรือบางทีอาจจะเพราะว่าพระอาทิตย์ตกทางด้านทิศตะวันตก แล้วผนังบ้านของเราจะสะสมความร้อนเอาไว้
ทำให้เวลานอน เราอาจจะนอนไม่สบาย หรือไม่ก็อาจจะไม่สบาย จากความร้อนที่แผ่ออกมาจากผนังบ้าน
ตามหลักฮวงจุ้ยบอกว่า“ ทิศตะวันตกเป็นทิศคนตาย ห้ามเอาหัวนอนไปทางทิศนี้”
นี่เป็นกฎเกณฑ์ของคนไทย ที่คนโบราณสั่งสอนกันมา จนกลายเป็นคำถามของคนยุคนี้ว่า จริงเหรอ ถ้านอนเอาหัวไปทางทิศตะวันตก จะทำให้เจ็บป่วย อายุสั้น เพราะเป็นทิศคนตาย ทิศที่เป็นมงคลสำหรับคนไทย คือ ทิศเหนือ กับทิศตะวันออก ส่วนทิศตะวันตก กับทิศใต้ ถือว่าเป็นทิศอัปมงคล ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งก็คงมาจากชื่อ นั่นเอง
“หลักฮวงจุ้ย ไม่ได้ถืออย่างคนไทย” แต่จะเน้นไปที่ชัยภูมิในการวางเตียงนอนมากกว่า หรือไม่ก็ดูจากธาตุปีเกิดของผู้นอนว่า ควรหันหัวนอนไปทางทิศใด อย่างคนเกิดปีกุนกับปีชวด ทิศหัวนอนเป็นทิศตะวันตก ถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะเป็นทิศส่งเสริมเจ้าชะตา ตามหลักความสัมพันธ์ของธาตุทั้ง 5 ปีกุนกับปีชวด เป็นธาตุน้ำ ส่วนทิศตะวันตก เป็นธาตุทอง ตามกฎเบญจธาตุ ธาตุทองส่งเสริมธาตุน้ำ
จากเก็บข้อมูลของผมเอง คนที่นอนเอาหัวไปทางทิศตะวันตก เมื่อเปรียบเทียบกับการนอนทิศอื่นๆ ผลออกมาไม่ต่างกันครับ มีดีมีเสียพอๆกัน อย่างคนที่เอาหัวนอนไปทางทิศตะวันออก หรือทิศเหนือ ซึ่งถือว่าเป็นทิศมงคลนั้น ก็มีทั้งดีทั้งเสียเหมือนกัน
แต่ก็มีบางกรณีที่นอนแล้วเกิดอาการเจ็บป่วยภายในเวลาไปถึง 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เชื่อ (แบบฝังหัว) ว่าทิศตะวันตกไม่ดีห้ามนอน เมื่อไปลองนอนดูก็เกิดอาการทันที ซึ่งสันนิฐานว่า น่าจะเกิดจากภาวะอุปทานมากกว่า
ผมเองลองค้นหาข้อมูลในเรื่องนี้ โดยหาตำราเก่าๆ ที่เกี่ยวกับความเชื่อของไทย ก็พบว่า มีพูดเอาไว้เหมือนกันเกี่ยวกับทิศตะวันตกที่ห้ามเอาหัวนอนหันไป แต่ตำราไม่มีคำอธิบายว่าเพราะอะไร จนมาวันหนึ่งผมลองทดสอบกับตัวเอง ลองเอาหัวนอนหันไปทางทิศตะวันตก จะดูว่ามีผลเสียอย่างไร ปรากฏว่าพอตื่นนอนขึ้นมาผมก็ทราบคำถามทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาเป็นสัปดาห์
จะไม่ให้ทราบได้อย่างไรล่ะครับ แค่ผมลืมตาก็ต้องรีบหลับตาทันที เพราะถ้าขืนไม่หลับตาก็มีหวังตาคงจะบอดแน่ๆ เพราะแสงพระอาทิตย์สาดเข้าเต็มหน้า ผมถึงบางอ้อ..ในบัดนั้น ตอนเช้าใครๆ ก็รู้ว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก การนอนเอาหัวไปทางทิศตะวันตก ก็เท่ากับหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
..นี่คือผลกระทบที่เป็นเหตุเป็นผลที่สุด
กรณีที่จะได้รับผลกระทบแบบที่ผมจะเจอ จะต้องเข้าเงื่อนไขที่ว่า ปลายเตียงต้องเป็นหน้าต่างที่แสงอาทิตย์สามารถส่องเข้ามาถึง ถ้าหน้าต่างถูกปิด หรือมีม่านบัง จะไม่เข้าข่าย หรือไม่มีผลกระทบ นั่นเอง
วิถีคนสมัยก่อน ส่วนใหญ่จะเปิดหน้าต่างนอน เพราะนอนกางมุ้ง ไม่มีมุ้งลวดเหมือนปัจจุบัน จากเหตุผลในเรื่องนี้ ทำให้ผมเข้าใจถึงข้อบัญญัติอีกข้อหนึ่ง ที่พูดถึงเรื่องของบันได ที่ห้ามหันบันไดขึ้นทางทิศตะวันตก ก็คงมาจากผลกระทบของแสงอาทิตย์ นั่นเอง
บันไดเป็นจุดอันตรายที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ถ้าคนเดินขึ้นบันไดแล้วมีแสงอาทิตย์มาแทงตา โอกาสที่จะเหยียบบันไดพลาดก็มีมาก คนโบราณจึงกล่าวห้ามเอาไว้ว่า อย่าสร้างบันไดหันขึ้นทางทิศตะวันตก
ทิศตะวันตก กลายเป็นเจ้าตัวร้ายก็เพราะผลกระทบจากแสงแดด นี่เอง จะมีดีอยู่อย่างเดียวถ้าห้องน้ำห้องส้วมอยู่ทางทิศนี้ เพราะแสงแดดจะเผาผลาญเชื้อโรคและความชื้นภายในห้องน้ำได้ดีที่สุด นอกจากนี้แล้ว ก็ยังไม่เห็นข้อดีของทิศตะวันตกเลย
กลับมาเรื่องหัวนอนกันต่อ สรุปก็คือ การหันหัวนอนไปทางทิศตะวันตก สามารถทำได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ ถ้าไม่เข้าข่ายที่ปลายเตียงมีช่องหน้าต่าง ที่แสงอาทิตย์สามารถส่องถึงเตียง ส่วนคนที่มีความเชื่อแบบฝังหัว ผมแนะนำว่า ไม่ควรนอนครับ เพราะความเชื่อเป็นพลังจิตอย่างหนึ่ง ที่มีความแรง สามารถดลบันดาลให้คนที่เชื่อเป็นไปตามนั้นได้
หมายเหตุจาก : http://magazine.ps.co.th
และท้ายสุดมีหนังสือที่นักวิจัยกล่าวว่าเวลานอนควรนอนแนวเหนือ-ใต้ตามขั้วแม่เหล็กโลก เพราะจะช่วยให้สนามแม่เหล็กภายในร่างกายเราได้เรียงตัวใหม่เวลานอนติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง ร่างกายจะสามารถรับพลังจากสนามแม่เหล็กโลกได้ดีขึ้น ช่วยปรับสมดุลในร่างกายได้
TOP
Read More
Moment.
posted at : chonlathee1.live.space.com ,16 Dec 2008.
"Moments that make us happy.
It is short and goes fast.
Sometimes not accumulate, and exploit them like you want.
If I left it a little flavor.
It can make us starve to smile when you..... think of"
"ช่วงเวลาดีๆที่ทำให้เรามีความสุข
มันช่างแสนสั้นและผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
บางครั้งไม่สามารถสะสมและตักตวงไว้ได้เหมือนดั่งใจต้องการ
หากแต่หลงเหลือกลิ่นไอไว้เพียงน้อยนิด
ซึ่งมันก็สามารถทำให้เราอดที่จะอมยิ้มกับมันไม่ได้…เมื่อนึกถึง"
..แด่เธอคนที่นั่งเรียนข้างๆกัน(ชื่อจำได้นะ) TPA/SCL/#401/nihongo Y-1/2006-2007
by Chonlathee Santipatee
TOP
Read More
Be A Man
ที่มา : Steve Bunyan - Life Coach
If you’ve ever had trouble with “getting the girl” you will have doubtless asked around for advice from friends, siblings and maybe work colleagues too, on how to win her affections. The advice you got will probably have varied wildly and as a result you may still be confused.
I’m sure you’ve already heard some of these… “Buy her flowers”, “Treat her mean, keep her keen”, “Just tell her that you like her”, “ask her out”, “be yourself”, “use this great pick-up line…”, “make her laugh”, “compliment her” and so on…
You may have also come across a few that recommend you use the techniques they found in one of hundreds of different eBooks available on the internet, or perhaps something they stumbled on at Amazon.
You may have even tried some of these things and probably found that the results are disappointing at best.
Men often get it completely wrong because they totally misunderstand what women are attracted to. They do this because they assume that women think like men do – duh! They’re women; they think like women – not like men. Their motivations, dreams, goals, aspirations, expectations, wants, needs and desires are totally different to yours and that’s how it should be!
You’re a guy so you are primarily attracted to a woman based on her looks and body shape; maybe so much so that pretty much everything else is almost irrelevant to you. (Perhaps you can convince her that you’re not, perhaps you can even convince your friends and family of that too, but I’m just not buying it because we are both guys and that’s just how we’re wired – it’s normal and natural so accept it). By contrast, and generally speaking, unless she is still very young (perhaps under 21), she has already grown out of that phase. It’s not that she isn’t interested in the way you look, of course she is; it’s just that it’s kind of secondary to the other things in she wants in a man.
So what’s the deal? What do women really want?
Actually, it’s pretty simple… women want you to be a man.
Ok, so how do you do that?
Here are my top 19 ways to be man.
#1 Believe in yourself
If you don’t believe in yourself, she won’t either. It’s that simple. Don’t fake it, just do whatever it takes to believe in you as a genuine and attractive guy.
#2 Be friendly
When you’re out and about meeting people, be friendly, upbeat and cheerful. Have a smile on your face and walk tall. Be genuinely pleased to meet people, regardless of who they are. Make time to say hello to everyone you meet and really make an effort to look for the good in them. Being friendly does not include buying people things just to gain their attention, running errands for them “to be nice”, or being their personal servant. These things are not friendly, they are just plain needy.
#3 Be congruent
Whoever you are, whatever you do, however you dress, behave, or present yourself; be real. Genuinely be the person you are claiming to be and presenting to the world. Only say things if you really mean them. Use only your own words and terminology and wear clothes that express who you really are – the real you. Don’t be tempted to copy others, be yourself. Every one of us is a unique and fascinating human being when we take the time to be who we really are. And anyone who tells you this isn’t true, is just plain wrong!
#4 Be confident
From a woman’s perspective, confidence is one of the most attractive qualities a man can ever possess. (If you doubt this just go and ask a few women you know). A confident man is very sexy to women. So decide who you are, be yourself, be confident about that and make it your goal to do whatever it takes to have rock-solid confidence.
#5 Be strong
You may have heard people say “be strong” before, but again, as a guy your interpretation of what strong is may be very different to that of a woman. Women want guys who are mentally and emotionally strong. Yes of course, they like men with physical strength too, but it’s not a substitute for mental and emotional strength in the eyes of a woman. She wants a guy who can make her feel safe, wanted, needed, loved and protected. So, develop the ability to rise above dramas and crises. Learn to take whatever life throws at you in your stride and take the burden for her too. Be cool and calm when everyone else is completely losing it – especially her!
#6 Be spontaneous
Routine is not sexy. Doing the same thing all the time is boring. Knowing what someone is going to say or do, before they say or do it, is as dull as dishwater. Always going to the same restaurant, always wearing your favourite shirt, always going through the same routine in the bedroom and even buying her the same flowers on the same day every week will have her yawning rapidly – and probably paying attention to other guys too.
Just like you, women want excitement in their lives and you will never bore her into being attracted to you! So, be a little unpredictable; mix things up, do something she could never have imagined in a million years and do that at times which are also unpredictable too. It doesn’t need to be expensive, extravagant, or flamboyant, but it does need to show that you thought and care about the way she feels.
#7 Be fun
It always makes me smile when single people on dating sites list themselves as looking for a “serious relationship”. Why the hell don’t they want a fun one!? Women love to laugh. In fact, so much so, that men who can make a woman laugh are usually a huge turn-on to any woman.
I’m not talking about cracking an endless stream of jokes here; I’m talking about being able to make her laugh you, at life and even at herself. Spontaneous, off-the-cuff, contextual humour is an incredible aphrodisiac for women. Tease her, make fun of her (in a nice way), and laugh at your own idiosyncrasies too. She wants to have fun and she wants you to be the guy who makes that happen. Perhaps play “make believe” with her, like kids do… Make up scenarios that are amusing, for example:
She’s the princess, sitting in her room waiting to be rescued by the handsome prince, and you would have rescued her, you really would, but you were busy washing your hair!
And remember, don’t use my words, make up your own, use your own imagination and be yourself. Use situations that are relevant to you and her and have fun with it. When the words that came from your mind make her laugh, magic can and often does happen.
A word of warning here… using humour is a skill; perhaps even an art. It’s incredibly powerful when used well, but when used wrongly it can make her go off you instantly. The golden rule is that she should be the one doing the laughing.
#8 Be busy
So you’ve met a woman you really like and you’re pretty sure she’s into you too. Don’t make the naive error of wanting to see her, or talk to her all the time. Have other things going on in your life that make you a fascinating and multi-faceted guy. Women will soon lose interest in you if you are always available. That’s just human nature and always remember that women have choices so don’t overdo it. Don’t fake it either though; don’t pretend to be too busy to see her when she calls – actually be busy so that you can’t see her all the time - at least for the first half dozen dates or so.
## ...Then once you are seeing her regularly, don’t put off other things in your life that are important, just so you can see her; especially your friends or family. Make time for her sure, but not at the expense of everything else in your life. To do so is both social suicide and the start of a slippery slope into co-dependence. You will almost certainly lose some good friends and probably, in time, her too.
#9 Be laid back
This is really important. When you’re talking to a woman you like, don’t be too eager. Treat her the same as you treat everyone else; be indifferent. Don’t lean in too much, don’t give her too much eye contact or physically align yourself to completely face her. Show her attention, but not too much. Allow yourself to be a little distracted by what’s going on around you and let her mind play with the idea that maybe, just maybe, you do like her. A guy who is a sure thing is a big turn-off to a woman.
#10 Be in control of yourself
If you’re going to be a man you have to be in control of yourself. You have to know what you want and don’t want. You have to know what you like and don’t like and you have to be willing to stick your neck out and say so. It doesn’t matter whether anyone agrees with you, but it does matter that you know who you are and that you remain true to yourself. Being in control of yourself is also about remaining calm, not losing your temper, not having too much to drink, and not letting others make decisions for you – especially her.
#11 Be cheeky
She may be the prettiest thing you ever saw, but that doesn’t mean you have to put her on a pedestal and worship her like some mindless slave. As a rule, the more you like her, the cheekier you should be. Steal her fries, tease her for being a girl, pinch her butt, or better still, accuse her of pinching yours. If you’ve been dancing with her offer to get her a chair because you realise that at her age she shouldn’t overdo it (especially if she’s younger than you). If you catch her looking at you, accuse her of checking you out, or when she calls and wants to see you, tell her you would, but you have already arranged a date with her mum!
#12 Take the lead
When you call her to arrange a date, know where you’re going to take her, what time she should be ready and if it’s relevant, what she should wear too (she won’t thank you if she turns up to a ball in her jeans or the ice rink in a ball gown). Don’t expect or even ask her to choose – if you want to be a man that’s your job. If she wants to do something else she’ll tell you.
Open doors for her, pull her chair out and even pick up the bill if you want to, but don’t stop her from contributing if she wants to.
Ignore everything you’ve heard about not opening doors for women etc. Its feminist propaganda designed to confuse, emasculate and control men; and it’s peddled by women you’re never going to be attracted to for very long, if at all. They are angry at you and me for what they perceive other guys did in the past, so if you meet one, I suggest you make a swift exit because you are not to blame for what other guys did or didn’t do in the past and anyway, you can do a lot better.
#13 Make it about the people, not about the money
Far too many people meet on a first date and make it all about money. Chic restaurants, expensive cocktails, taxis, tickets and so on. You really don’t need to spend a fortune to have a great time together. The best date I ever had was a cup of coffee from the drive thru at McDonalds followed by the two of us dancing together under the stars to my car stereo in the gateway of a farm on a quiet country lane. So come on guys, be inventive, be romantic and be spontaneous without having to rely on money to make the man. Do this whilst being yourself and you’ll blow her away! Just think country walks, picnics, the beach or any other natural setting.
#14 Be firm
Women want a man who is in control of himself and his own life. That means you don’t let people push you around physically, mentally or emotionally. No woman will find herself truly able to respect a man who lets others treat him like a doormat. If you can’t do something for someone else, be a man and say so up front. The same goes for those times when you could but you just don’t want to. Don’t be wishy-washy, be decisive. She wants a man who doesn’t put up with crap from others – including her!
#15 Be assertive
When you feel the time is right to kiss her, whatever you do, don’t ask her for a kiss, or ask for her permission to kiss her, or even tell her you want to kiss her – Just be a man and steal a kiss! If she doesn’t want you to kiss her or just isn’t ready yet she’ll make it clear. As a guy this is just something you have to make a judgement call on and then choose your moment. A great time to steal your first kiss is when you’ve just made her laugh.
#16 Be gentle
When you touch a woman, especially at the beginning of any intimate encounter with her, be gentle; stroke her skin really, really softly (imagine you are stroking the wings of a beautiful, yet delicate butterfly), and kiss her in a way that your lips are barely touching hers to start with. Notice her reactions and build this very slowly. As the passion builds, the touching and kissing can too, but take your time, she’s a warm, sensual woman, not a cold beer or a rib-eye steak and there really is no rush!
#17 Be interested
When you talk to a woman, be genuinely interested in what she has to say. Don’t pretend to be interested, actually get interested. You don’t have to agree with her or tell her she’s right, but the fact that you actually pay attention to what she has to say is something she will notice about you very quickly and in most cases this will do her opinion of you a power of good.
#18 Be detached
Far too many guys focus on the outcome they want to achieve when talking to a woman they are attracted to; and the woman knows it. If you want her phone number, a date, a dance or anything else from her, she will sense it very quickly and when she does it gives her almost all the power in your interactions with her. As soon as she has all the power, you are suddenly competing with every other guy who wants her attention so don’t do it.
Instead, focus on simply enjoying her company, making her smile/laugh or just being plain friendly. Forget what you want to achieve until such a point that it becomes very obvious that she wants that too. Just get on with getting on with her and detach from the outcome. Even guys who are incredible with women can’t get a result every time, so let it go.
#19 Look like a man
Women want a guy who takes care of himself and cares about the way he looks because it says an awful lot about the way he sees himself and the world around him. However, no woman wants a guy who looks better than she does, or heaven forbid, takes longer getting ready than she does – she doesn’t spend all that time, money and effort to look her best, only to be upstaged by her man!
In conclusion guys, it’s not hard to be a man, it just takes a little thought, a little courage and a clear vision in your mind of who you are. So if in the past, you’ve struggled to understand what it is that women really want, just do the things I’ve mentioned above and the results will amaze you.
( **That'swhy,all of results to top.I love it.
Well,I've bring it for showing you all of people left over my site.
It's probubly be cool for your solution in mind and usable too.**
Finally,when you need to translational with thai languish.
Did you should leave a message below into comment box.
หากต้องการคำแปลบทความนี้กรุณาโพสต์ email ตอบกลับไว้
From : ที่ว่างของฉัน blogspot )
TOP
Read More
เพราะรักในแบบของใคร ก็เป็นแบบของมัน
มันไม่มีสูตรสำเร็จ อย่าฝืนใจรัก ถ้าคิดว่ามันไม่ใช่
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคบใครสักคนเพียงเพราะ อยากจะมีใครสักคน
อย่าชิงสุกก่อนห่าม เพราะเพศตรงข้ามที่ไม่รู้จักอดทนอดกลั้น
เพื่อถนอมสิ่งที่หวงแหนอันเป็นที่รัก
แสดงว่าเขาไม่ได้รักคุณหรอก เค้ารักตัวเองมากกว่า
รักตัวเอง ไม่ได้หมายความว่า รักและเอาแต่ตัวเอง
อย่าเปลี่ยนตัวเองเพียงเพื่อให้เขามารัก เพราะจะทำได้ไม่นาน
วันนึงคุณจะรู้สึกเหนื่อยเพราะความรัก ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
อย่าหลงในรสชาติของความรัก เสียจนลืมชีวิตประจำวันของตัวเอง
หรือสูญเสียความเป็นส่วนตัว
คนที่พร้อมจะอยู่กับคุณโดยที่คุณไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตเลย
คนที่พร้อมจะเดินหน้าเมื่อคุณเดินหน้า คนที่พร้อมจะถอยหลังไปกับคุณ
คนที่ไม่ยอมให้คุณเดินตามหลัง ขอเพียงเดินเคียงข้างหรือนำหน้า
คนที่ไม่บังคับให้คุณ ทำอะไรในแบบที่คุณไม่ชอบ
คนที่ไว้ใจ ให้อภัย ให้โอกาส ซื่อสัตย์ และให้เกียรติ คุณ
...นั่นแหล่ะ คือคนที่รักคุณจริง.....
จงถนอมคนเหล่านี้ไว้ อย่าปล่อยให้เขาไปจากคุณ..
เพราะคุณอาจจะเสียใจหากเขาเปลี่ยนใจหยิบยื่นโอกาส
ที่ควรจะเป็นของคุณไปให้คนอื่น
คนที่รักคนที่เปลือกนอกมีอยู่เยอะเหลือเกิน
ชีวิตคนคนนึงจะมีคนที่รักคุณจริงผ่านมาสักกี่คน
ใครที่บอกว่ารักคุณ แล้วพยายามจะเปลี่ยนคุณ
ดึงคุณให้เดินตามทางของเขา
เขาอาจไม่ได้รักคุณจริงหรอก...หากแต่เขารักตัวเอง
เชื่อในพรหมลิขิต เพราะจะทำให้คุณรู้จักคำว่า "ฝัน"
เชื่อในเหตุการณ์ที่นำพาความรักมาให้ เพราะจะทำให้คุณรู้จักคำว่า "หวัง"
เชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีเส้นขนาน เพราะจะทำให้คุณรู้จัก "จุดหมาย"
อย่าบอกว่า"ไม่รัก" ถ้าไม่สามารถสบตาเขาอย่างบริสุทธิ์ใจได้
อย่าบอกว่า"รัก" ถ้าคุณไม่รู้สึกวูบวาบเวลาอยู่ใกล้ๆ กัน
อย่าบอกว่า"ไม่คิดถึง" ถ้า หัวใจไม่อาจลืม
อย่าบอกว่า"คิดถึง" ถ้าเพิ่งจากกันไม่ถึงนาที
อย่าทิ้งหัวใจของคุณไว้กับอดีต
อย่าคิดว่าอดีตไม่มีวันหวนคืน
อย่าคิดว่าไม่มีพรุ่งนี้
อย่าลืมบทเรียนของวันวาน
อย่าลืมเป็นตัวของตัวเอง
ทุกชีวิตยังมีความหวังอยู่เสมอ.....
ปล่อยให้ชีวิตดำเนินต่อไป..วันนึงถ้าชีวิตหวนคืนมาสู่ทางสายเก่าที่เคยทำ
แล้วคุณมีความสุขระหว่างที่เดินทางในแต่ละก้าว..ก็อย่าเดินเลี่ยงมันไปอีก
เพราะน้อยครั้งนักที่ถนนสายเดิมยังคงสภาพเดิมเพื่อรอให้คุณเดินย้อนกลับมา
ลองเดินต่อไปสิ..บางทีคุณอาจจะเจอจุดหมายที่คุณค้นหามาตลอด
ในเส้นทางที่คุณเคยเดินเลี่ยงมันไปก็ได้
TOP
Read More
แฟนเปรียบได้กับเพลงใหม่เพลงหนึ่ง..ที่คุณมักบอกกับตัวเองว่ามันไพเราะ
แต่เมื่อฟังไปสักร้อยรอบ..คุณก็จะเบื่อไปเอง
ต่างกับเพื่อนสาวซึ่งเปรียบได้กับเพลงคลาสสิก..
ที่นานๆทีคุณเปิดฟังแต่ก็ยังไพเราะ..ไม่ต่างจากครั้งแรกที่คุณฟัง
คนๆหนึ่งที่คุณเคยชอบ..แต่เขาไปชอบคนอื่น..
แต่คุณก็ยังจำทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้ ก็คงเปรียบได้กับ
เพลงของค่ายเพลงดังที่คุณบอกว่าเกลียด แต่คุณก็ยังร้องเพลงนั้นได้จนจบ
ลองสังเกตไหมว่าถ้ามีรูปถ่ายหมู่ใบหนึ่ง..คนที่คุณมองหาคนแรก คือคนที่คุณชอบอยู่
เบอร์โทรศัพท์..ที่ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทคุณแต่คุณก็จำได้ไม่แม่นยำ
แต่ถ้าเป็นเบอร์ของคนที่หลงใหลล่ะก็..คุณจะจำได้ทุกตัว แม้ว่ามันจะไม่ซ้ำกันเลย
เพลง..ที่คุณชอบมากที่สุดตอนที่คุณมีแฟน
อาจจะกลายเป็นเพลงที่คุณเกลียดที่สุด เมื่อเขาจากไป
เมลล์ทุกเมลล์ที่เพื่อนคุณส่งให้ ก็ไม่อาจเทียบได้กับ
คนรักคุณ..ที่ตอบกลับมาแค่ “ขอบคุณนะ”
ก็เหมือนทุกๆที่คุณคุยกับเพื่อนเป็นร้อยประโยคแต่ก็จำไม่ได้
แต่เมื่อคุณได้คุยกับคนที่คุณแอบชอบ
แม้ประโยคเดียว คุณก็จำได้ดี...จนกว่าเขาจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน
TOP
Read More
(เก็บมาฝาก)วันวาเลนไทน์
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรัก กันและแต่งงานกันในที่สุด
(St.Valentine)ใน ภาษาลาติน คือ วาเลนตินัส (Valentinus)ซึ่งเป็นชื่อแห่งความทุกข์ทรมานต่างๆนาๆของ นักบุญในกรุงโรมเก่าแก่ท่านหนึ่ง
ชื่อ วาเลนไทน์ มาจากรากศัพท์ คำว่า วาเลนส์ (Valens)แปลว่า ความแข็งแกร่ง ,มีพละกำลัง,น่ายกย่อง
และเป็นที่โด่งดังอยู่ในประวัติศาสตร์กรุงโรมเก่าแก่มาช้านาน
ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยกษัตริย์ คลอดิอุสที่ 2 (Claudius II)แห่งกรุงโรม
นักบุญวาเลนไทน์ ถูกประกาศสู่พิธีกรรมการรับเป็นบาทหลวงในคริสตจักรนิกายออโทดอกซ์(Ortodox) ที่โบสถ์แห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก เดือน กรกฏาคม วันที่6 และ พิธีกรรมฉลองรับ กฏบัญญัติ(Hieromartyr)แห่งอิตาลี ในเดือน กรกฏาคม วันที่ 30 แม้ว่าประเพณีเกี่ยวกับรายชื่อสมาชิก ของ โบสถ์เก่าแก่นิกาย ออโทดอกซ์ของกรีกโบราณ ไม่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ ซึ่งชื่อ วาเลนติโน่ ที่เป็นชื่อของผู้ชายValentinos (male)หรือ Valentina (female) วาเลนติน่า เป็นชื่อของผู้หญิง ไม่มีการบันทึกตามแบบฉบับการเฉลิมฉลองของชื่อเหล่านั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ วันที่ 14 อีกด้วย และไม่มีชื่อ สุดยอดนักบุญและน่าเลื่อมใส อย่าง เซนต์วาเลนไทน์ จารึกไว้ ในวันที่ 6 หรือ 30 ของเดือนกรกฏาคม ดังกล่าว ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วก็ไม่ชื่อของ เซนต์วาเลนไทน์ อยู่ในโบสถ์เก่าแก่ในกรีกโบราณนิกาย ออโทดอกซ์ อีกด้วย
ในสมัยนั้นกษัตริย์ Claudius ที่สอง เป็นยุคที่คริสตจักร ถดถอยจากเหล่าจักรวรรดิโรมัน และยังออกกฏห้ามนับถือพระคริสต์ เพราะยังเป็นยุคที่ชาวโรมัน และ กรีก โบราณ นับถือและบูชาเหล่าเทพเจ้าและเทพธิดา ในขณะที่คริสต์จักรกำลังเข้าไปเผยแพร่
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้นเอง กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วม ในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกไม่ให้มีงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุง โรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นบาทหลวงที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย
แต่นักบุญวาเลนไทน์ก็ได้ขัดบทบัญญัติแห่งกฎหมายของกษัตริย์
ด้วยการเป็นบาทหลวงในพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานอย่างลับ ๆ
และยังเป็นผู้นำคริสเตียนอีกด้วย
แล้ววันหนึ่งข่าวการทำพิธีสมรสของนักบุญวาเลนไทน์ก็รู้ถึงหูของพระเจ้า Claudius เข้า
พระองค์จึงทรงสั่งทหารไปจับเขามาขังคุก
ระหว่างอยู่ในคุกมีคู่แต่งงานที่ท่านเคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนท่านอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่เขาถูกขังอยู่ในคุก ก็พบรักกับลูกสาวของผู้คุมซึ่งตาบอด ด้วยความรักและคำอธิษฐาน ของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของลูกสาวผู้คุมหายเป็นปกติ ผู้คุมและครอบครัวของเขาจึงหันมา นับถือศาสนาคริสต์
เธอมักมาพูดคุยกับท่าน และบอกท่านเสมอ ๆ ว่า การกระทำของท่านถูกต้องแล้ว
เมื่อความรู้ถึงจักรพรรดิ์คลอดิอุสที่ 2 ของโรม พระองค์ทรงกริ้วมาก สั่งให้ลงโทษ วาเลนตินัสอย่างหนักด้วยการโบยแล้วนำไปตัดศีรษะ คืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารเขาได้เขียน จดหมายสั้น ๆ เป็นการอำลาส่งไปให้ลูกสาวผู้คุม ลงท้ายว่า "From your Valentine"
รุ่งเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 ในคุกแห่งนั้น วาเลนตินัสก็ถูกนำไปตัดศีรษะ และเอาศพไปฝังไว้ที่ เฟลมิเนี่ยนเวย์(Via Flaminia) ซึ่งภายหลังมีการสร้างโบสถ์หลังใหญ่คร่อมสุสานของเขา ไว้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงชีวิตและความรัก อันยิ่งใหญ่ของเขาและจากการกระทำเหล่านี้เอง ของนักบุญวาเลนไทน์นี้ จึงถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
ต่อมาในปี ค.ศ.496 Pope Gelasius (โป๊ป เกลาซิอุส)
ได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์
เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญ วาเลนไทน์
เราจึงมักถือเอาวันนี้เป็นวันแห่งความรัก
ในระยะต่อมาวันวาเลนไทน์ ใช้แทนความรักของหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่
โดยในวันนี้จะมีการส่งขนม โดยเฉพาะ ช็อคโกแลตและดอกไม้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นดอกกุหลาบให้กับคนที่เรารัก
และที่ต้องเป็นดอกกุหลาบ นั่นก็เพราะว่ากุหลาบถือเป็นราชินีของดอกไม้
ด้วยกลิ่นที่หอมน่าพิสมัยและความสวยงาม
เป็นสื่อของความสุข ไมตรีจิต การบูชา และความรัก
ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นตัวแทนแห่งความรัก ที่นิยมนำมามอบให้กันในวันวาเลนไทน์
คนทั่วไปประทับใจกับความรักของเขาจึงยึดเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวัน "วาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก ซึ่งต่อมาแพร่หลายในยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชียรวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
"ดังนั้น วันวาเลนไทน์ คือ วันที่ระลึกถึง "เซนต์วาเลนไทน์" หรือนักบุญวาเลนไทน์
บุรุษผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์
แต่ต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 "
ที่มา : wikipedia encyclopedia
TOP
Read More
( เก็บมาฝาก) วันคริสต์มาส
คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" สำคัญที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า
พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก
คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส
ต้นคริสต์มาส
ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น
ซานตาครอส
ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้
อื่นๆ
การให้ของขวัญในวันคริสต์มาส เป็นธรรมเนียมนี้ เริ่มกับชาวโรมที่เคยให้ของขวัญแก่เพื่อนในวันขึ้นปีใหม่ (มักจะเป็นผลไม้ ขนม หรือทองคำ) ต่อมาชาวอังกฤษถือ "วันกลอง" (ในวันที่ 26 ธันวาคม) เป็นวันที่ศิษยาภิบาลเคยเปิด "กลองทาน" ในโบสถ์ และแจกเงินให้สมาชิกที่ยากจน ต่อมาชาว อังกฤษก็ให้ของขวัญแก่พวกคนใช้ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ในวันนั้นด้วย ในทวีปยุโรป เด็กๆ มัก จะเข้าใจว่า พระกุมารเยซูเป็นผู้นำของขวัญมาให้เขา (แท้จริงแล้วพ่อแม่เป็นผู้ที่ให้ต่างหาก) แต่เด็กที่สหรัฐอเมริกามักจะคิดว่า "ซานตาคลอส" เป็นผู้ให้
คืนก่อนวันคริสต์มาส หรือคริสต์มาสอีฟ จะมีงานแครอลลิ่ง ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้าน ในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นการแสดง ร้องเพลง
เพลงคริสต์มาส เพลงวันคริสต์มาส
เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวันเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
ที่มา : wikipedia encyclopedia
TOP
Read More
คุณเคยทอดไข่ดาวโดยไม่ใช้น้ำมันไม๊?
บางคนไม่รู้ แต่บางคนไม่รู้ สำหรับคนที่ไม่รู้ ผมมีเคล็ดลับ มาบอก
คือว่า ถ้าคุณอยากรับประทานไข่ดาวโดยไม่อยากเพิ่ม คลอเรสเตอรอล ด้วยการใช้น้ำมันชโลมลงกระทะ และเพื่อกันไม่ให้ ไข่ดาวของคุณติดกระทะ
และข้อดีอีกอย่างเคล็ดลับของผมนี้ มันอาจช่วยได้มากสำหรับคนที่ไม่มีกะทะ ที่ฉาบสารเทฟร่อน คุณสามารถตั้งกะทะที่ไฟร้อนพอประมาณก่อนอันดับแรก แล้งสังเกตดูว่าให้ร้อนกำลังดี แล้วก็ตามด้วย การตอกไข่ใส่ลงไป จากนั้น เทน่ำเปล่า ลงไป แต่อย่าเทน้ำมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ไข่ดาวเสียรูป แล้วหาฝาซึ้งหรือฝาหม้อ หรือ ภาชนะที่ใช้ครอบกระทะของคุณได้
(ถ้าเป็นประเภทฝาครอบที่เป็นแก้วจะดีมากเพราะจะมองเห็นไข่ดาวของคุณด้วย)
แล้วทิ้งไว้สักพัก รอให้น้ำที่เทใส่ลงไประเหยออก (ระวังถ้า...! น้ำแห้งมากไป ไข่จะไหม้ได้นะ)ด้วยไอร้อนนั่นเองจะทำให้ไข่สุก และไม่เสียรูป จากนั้นก็เอาฝาที่ครอบไว้ออก และใช้ตะหลิวหรือที่ตัก ตักไข่ดาวของคุณขึ้นใส่ภาชนะที่คุณเตรียมไว้ แค่นี้คุณก็ได้ไข่ดาวที่ไร้คลอเรสเตอรอลจากน้ำมันแล้วครับ
คุณยังสามารถใช้ แม่พิมพ์วางลงไปก่อนในกระทะและก่อนตอกไข่ลงไป ซึ่งจะทำให้ได้ไข่ดาวที่มีรูปทรงที่ต้องการได้อีกด้วย แถมไม่มีคลอเรสเตอรอล
วิธีนี้เชฟทำอาหารระดับโรงแรมส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้ทอดไข่ดาวกันครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชฟชาวญี่ปุน
หากฝึกปฏิบัติด้วยวิธีนี้บ่อยๆ ไข่ดาวที่คุณจะมีรูปร่างสวยงามไม่แพ้ไข่ดาวในเบรคฟาส โรงแรมดังเลยที่เดียว
“งั้นผมขอตัวไปฝึกทอดไข่ก่อนนะ”
TOP
Read More
มันน่าเศร้าใจ ที่สามสี่ปี ที่ผ่านมา ทุกๆครั้งในวันครบรอบวันเกิดของตัวเอง ก็ไม่ได้มื อะไรพิเศษ ยังคงเหมือนทุกวัน
ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ดูจะเรียบง่าย เหมือนวันปกติทั่วๆไป
จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ เกี่ยวกับวันพิเศษนี้ มากนัก แต่ทว่า มันน่าจะทำอะไรให้มันดูพิเศษ เหมือนกับคนอื่นๆที่เขาทำกัน อย่างนั้นไม่ใช่เหรอ ไม่อย่างนั้นก็จะรู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยจะเบิกบานเท่าที่ควร
อย่างเช่น พาหวานใจ ไปทานข้าวด้วยกัน
ได้รับคำอวยพรจากญาติผู้ใหญ่
มีคนมาทำเซอร์ไพรส์
ออกเดท ไปดูหนัง ฟังเพลง
ปาร์ตี้เล็กๆ กับเพื่อนฝูง
ที่กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ในชีวิตผม ไม่เคยมี และไม่ได้โหยหา เพียงแต่หลายครามันทำให้รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป
และมันก็ทำให้ผมคิดที่จะเริ่ม ทำสิ่งเหล่านี้ให้กับตัวเอง
ผมอาจไม่มีหวานใจอยู่เคียงข้างเหมือนใครหลายๆคู่
ผมอาจไม่เคยได้รับคำอวยพรจากผู้ใหญ่หลายท่าน
ผมอาจไม่มีใครทำเซอร์ไพรส์ให้ผมประหลาดใจ
ผมอาจไม่เคยพาใครไป ดูหนังฟังเพลง ในวันพิเศษนี้
สิ่งทีผมทำได้อาจมีแค่ ปาร์ตี้ เล็ก กับหมู่เพื่อนๆ หรืออย่างน้อยที่สุดผมอาจทำให้ตัวผมเอง
19 sep. 2009…………….
เปิดโปรแกรม MSN ออนไลน์ เจอเพื่อนแชทคนนึง เธอรู้ว่าวันนี้วันครบรอบวันเกิดผมจากคำบอกกล่าวของผมผ่านฌปรแกรมพูดคุยนี้ ดังนั้นเธอก็อวยพร ตามมารยาทที่เธอมี ผมพูดคุยกับเธอหลายอย่าง จนกระทั่ง ผมบอกเธอว่า ผมจะออกไปข้างนอก อาจมีปาร์ตี้เล็กๆหรือ ทานอาหารกับเพื่อนๆ และบอกลาเธอก่อนปิดโปรแกรมนั่น
ผมโทรศัพท์บอกเพื่อนชวนคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง สรุปมีอยู่แค่สองสามคนที่ว่างและพากันไปกินสุกี้ เอ็มเค
ผมเห็นบางคนมีวันเกิดคล้ายกัน พาญาติพี่น้องหรือบางทีเขาอาจถูกพี่น้องพามาเลี้ยงฉลองให้ก็เป็นได้นั่งทานพูดคุยสัพเพเหระ กันอย่างเมามันและครื้นเครง
มันทำให้บรรยากาศดูรื่นรมย์เสียนี่กระไร ผมอาจไม่ได้มีเพื่อนมาเลี้ยงเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ก็รู้สึกดีไม่ใช้น้อย นั่งคุยกัน ทานอาหารกันไป และก็ได้ของขวัญชิ้นเล็กๆติดมือมาให้ มันมีค่าเพียงไม่กี่ร้อยแต่ความรู้สึกที่ได้มีค่าเป็นพัน อาจเป็นเพราะผมเปิดใจกับเรื่องวันครบรอบวันเกิดนี้ก็ได้ ไม่เคยหวังว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ พอได้ขวัญชิ้นเล็กมามันเลยทำให้บรรยากาศเติมเต็มและทำให้ดูมีค่าในช่วงเวลานี้มากกว่าราคาของมัน
ผมแยกย้ายกลับเพื่อนกลับที่พักและก่อนจะเข้านอน เปิดโปรแกรม MSN อีกครั้ง รายชื่อคนออนไลน์โชว์ขึ้นเห็น น้องคนที่อวยพร ผมในครั้งแรก ยังออนไลน์อยู่ แล้วเธอก็พิมพ์ทักทายผม และอวยพรให้ผมอีกครั้ง ก่อนปิดโปรแกรมแล้วเข้านอน
ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายในวันครบรอบวันเกิดนี้ ผมไม่ได้เฝ้าเพียรพยายามขอพรจากพระเจ้าเพื่อให้บรรลุถึงสิ่งที่ต้องการ หากแต่ผมลงมือทำให้มีความสุขด้วยตัวของตัวเอง
และอย่างน้อยที่สุด ความรู้สึกที่ได้รับ ในวันครบรอบวันเกิดนี้ มันทำให้ผมรู้สึก และมีความสุข ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหัวถึงหมอน
ไม่ใช่ผองเพื่อนที่รายล้อม และ ไม่ใช่ สิ่งของที่ได้รับ หากแต่เป็นคุณจะเปิดใจรับรู้ความรู้สึกว่าจริงแล้วอะไรคุณต้องการ และคุณจะรู้สึกถึงสิ่งเล็กๆที่ดีเหล่านี้ที่อาจทำให้หัวใจคุณได้มีโอกาสพองโตขึ้นมาได้เหมือนกัน ….อย่างที่เคยได้ยินว่า “ความสุขนั้นกำหนดใด้ด้วยใจ”
ความสุขเล็กๆหากคุณได้สัมผัส คุณอาจรับรู้ถึงคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของมัน ในช่วงเวลาคุณให้ความต้องการ
TOP
Read More