วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรัก กันและแต่งงานกันในที่สุด
(St.Valentine)ใน ภาษาลาติน คือ วาเลนตินัส (Valentinus)ซึ่งเป็นชื่อแห่งความทุกข์ทรมานต่างๆนาๆของ นักบุญในกรุงโรมเก่าแก่ท่านหนึ่ง
ชื่อ วาเลนไทน์ มาจากรากศัพท์ คำว่า วาเลนส์ (Valens)แปลว่า ความแข็งแกร่ง ,มีพละกำลัง,น่ายกย่อง
และเป็นที่โด่งดังอยู่ในประวัติศาสตร์กรุงโรมเก่าแก่มาช้านาน
ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยกษัตริย์ คลอดิอุสที่ 2 (Claudius II)แห่งกรุงโรม
นักบุญวาเลนไทน์ ถูกประกาศสู่พิธีกรรมการรับเป็นบาทหลวงในคริสตจักรนิกายออโทดอกซ์(Ortodox) ที่โบสถ์แห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก เดือน กรกฏาคม วันที่6 และ พิธีกรรมฉลองรับ กฏบัญญัติ(Hieromartyr)แห่งอิตาลี ในเดือน กรกฏาคม วันที่ 30 แม้ว่าประเพณีเกี่ยวกับรายชื่อสมาชิก ของ โบสถ์เก่าแก่นิกาย ออโทดอกซ์ของกรีกโบราณ ไม่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ ซึ่งชื่อ วาเลนติโน่ ที่เป็นชื่อของผู้ชายValentinos (male)หรือ Valentina (female) วาเลนติน่า เป็นชื่อของผู้หญิง ไม่มีการบันทึกตามแบบฉบับการเฉลิมฉลองของชื่อเหล่านั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ วันที่ 14 อีกด้วย และไม่มีชื่อ สุดยอดนักบุญและน่าเลื่อมใส อย่าง เซนต์วาเลนไทน์ จารึกไว้ ในวันที่ 6 หรือ 30 ของเดือนกรกฏาคม ดังกล่าว ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วก็ไม่ชื่อของ เซนต์วาเลนไทน์ อยู่ในโบสถ์เก่าแก่ในกรีกโบราณนิกาย ออโทดอกซ์ อีกด้วย
ในสมัยนั้นกษัตริย์ Claudius ที่สอง เป็นยุคที่คริสตจักร ถดถอยจากเหล่าจักรวรรดิโรมัน และยังออกกฏห้ามนับถือพระคริสต์ เพราะยังเป็นยุคที่ชาวโรมัน และ กรีก โบราณ นับถือและบูชาเหล่าเทพเจ้าและเทพธิดา ในขณะที่คริสต์จักรกำลังเข้าไปเผยแพร่
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้นเอง กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วม ในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกไม่ให้มีงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุง โรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นบาทหลวงที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย
แต่นักบุญวาเลนไทน์ก็ได้ขัดบทบัญญัติแห่งกฎหมายของกษัตริย์
ด้วยการเป็นบาทหลวงในพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานอย่างลับ ๆ
และยังเป็นผู้นำคริสเตียนอีกด้วย
แล้ววันหนึ่งข่าวการทำพิธีสมรสของนักบุญวาเลนไทน์ก็รู้ถึงหูของพระเจ้า Claudius เข้า
พระองค์จึงทรงสั่งทหารไปจับเขามาขังคุก
ระหว่างอยู่ในคุกมีคู่แต่งงานที่ท่านเคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนท่านอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่เขาถูกขังอยู่ในคุก ก็พบรักกับลูกสาวของผู้คุมซึ่งตาบอด ด้วยความรักและคำอธิษฐาน ของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของลูกสาวผู้คุมหายเป็นปกติ ผู้คุมและครอบครัวของเขาจึงหันมา นับถือศาสนาคริสต์
เธอมักมาพูดคุยกับท่าน และบอกท่านเสมอ ๆ ว่า การกระทำของท่านถูกต้องแล้ว
เมื่อความรู้ถึงจักรพรรดิ์คลอดิอุสที่ 2 ของโรม พระองค์ทรงกริ้วมาก สั่งให้ลงโทษ วาเลนตินัสอย่างหนักด้วยการโบยแล้วนำไปตัดศีรษะ คืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารเขาได้เขียน จดหมายสั้น ๆ เป็นการอำลาส่งไปให้ลูกสาวผู้คุม ลงท้ายว่า "From your Valentine"
รุ่งเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 ในคุกแห่งนั้น วาเลนตินัสก็ถูกนำไปตัดศีรษะ และเอาศพไปฝังไว้ที่ เฟลมิเนี่ยนเวย์(Via Flaminia) ซึ่งภายหลังมีการสร้างโบสถ์หลังใหญ่คร่อมสุสานของเขา ไว้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงชีวิตและความรัก อันยิ่งใหญ่ของเขาและจากการกระทำเหล่านี้เอง ของนักบุญวาเลนไทน์นี้ จึงถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
ต่อมาในปี ค.ศ.496 Pope Gelasius (โป๊ป เกลาซิอุส)
ได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์
เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญ วาเลนไทน์
เราจึงมักถือเอาวันนี้เป็นวันแห่งความรัก
ในระยะต่อมาวันวาเลนไทน์ ใช้แทนความรักของหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่
โดยในวันนี้จะมีการส่งขนม โดยเฉพาะ ช็อคโกแลตและดอกไม้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นดอกกุหลาบให้กับคนที่เรารัก
และที่ต้องเป็นดอกกุหลาบ นั่นก็เพราะว่ากุหลาบถือเป็นราชินีของดอกไม้
ด้วยกลิ่นที่หอมน่าพิสมัยและความสวยงาม
เป็นสื่อของความสุข ไมตรีจิต การบูชา และความรัก
ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นตัวแทนแห่งความรัก ที่นิยมนำมามอบให้กันในวันวาเลนไทน์
คนทั่วไปประทับใจกับความรักของเขาจึงยึดเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวัน "วาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก ซึ่งต่อมาแพร่หลายในยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชียรวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
"ดังนั้น วันวาเลนไทน์ คือ วันที่ระลึกถึง "เซนต์วาเลนไทน์" หรือนักบุญวาเลนไทน์
บุรุษผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์
แต่ต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 "
ที่มา : wikipedia encyclopedia
0 comments:
Post a Comment